วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

รอบรู้เรื่อง "มุมมองภาพ"




เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ให้ดูภาพประกอบ Angle of View ด้านบนนี้เป็นรูปที่เกิดจากเลนส์ทางยาวโฟกัสต่างๆ และมุมมองภาพที่ได้ต่อทางยาวโฟกัสนั้นๆ (กดที่ภาพเพื่อขยาย)

มุมมองภาพ (Angle of View)
ทางยาวโฟกัสของเลนส์ เป็นตัวบ่งบอกพื้นที่ซึ่งเป้าหมายจะถูกสร้างเป็นภาพขึ้นบนพื้นผิวเซ็นเซอร์ มุมมองภาพหรือ Angle of View เป็นมุมหรือองศาของภาพที่เกิดจากเลนส์ จำได้ว่าตอนเรียนวิทยาศาสตร์ คุณครูสอนว่าตาเรามองเห็นภาพ เกิดจากแสงกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนมาที่ดวงตาเรา (คงไม่ต้องพูดให้ฟังถึงขั้นเรตินาในดวงตา อิอิ) มุมที่ตาคนเรามองเห็นค่อนข้างกว้าง วัดเป็นองศาได้โดยให้ตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ด้านหน้าตัวเราเป็นระนาบแกน y ส่วนระนาบแกน x คือเส้นที่ลากผ่านแขนซ้ายไปทะลุแขนขวา องศาที่คนเราสามารถมองเห็นด้านหน้าจะเป็นรูปกรวย ประมาณ 80 องศาน่าจะได้

เลนส์เป็นตัวรับแสงเข้ามาและกระจายแสงลงสู่ผิวเซ็นเซอร์ เปรียบได้กับการฉายภาพ คุณสมบัติของเลนส์จะแตกต่างกันตามทางยาวโฟกัส เช่น 28mm, 135mm ตัวเลขทางยาวโฟกัสยิ่งน้อย ยิ่งให้มุมมองภาพกว้าง ถ้าทางยาวโฟกัสตัวเลขสูง เช่น 200mm มุมมองภาพก็จะแคบลง และเมื่อมุมมองภาพแคบลง วัตถุที่เราโฟกัสก็จะขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเลนส์ซูมนั่นเอง

ประโยชน์ของมุมมองภาพที่ทางยาวโฟกัสต่างๆ จะช่วยให้เราได้เพอสเปคทีพของภาพที่แตกต่างกัน งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนหลังกล้องแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกใช้ทางยาวโฟกัสช่วงไหน เพื่อสร้างภาพถ่ายในแบบฉบับของตนเอง

คำแนะนำเกี่ยวกับมุมมองภาพ

มุมกว้าง ตั้งแต่ทางยาวโฟกัส 35mm ลงมา เป็นมุมกว้าง เรียกว่าไวด์ (wide) เหมาะสำหรับถ่ายภาพวิว ทิวทัศน์ จะเห็นว่าเลนส์คิทที่แถมมากับกล้อง DSLR มักจะเป็นเลนส์นอมอลซูม หรือ ช่วงซูมปกติ เช่น 18-55mm ของแคนนอน คูณตัวคูณ (FOV : จะเล่าให้ฟังอีกครั้งเร็วๆ นี้) เทียบเท่า 28-88mm ในกล้อง 35mm หมายความว่าช่วงมุมกว้างสุดของเลนส์คิทกระบอกนี้คือ 28mm จะให้มุมกว้างที่ใกล้เคียงกับตาคนมองเห็น เหมาะสำหรับถ่ายภาพเหมือนตาเห็น เช่นภาพวิว ภาพหมู่ เป็นต้น
มุมกว้างพิเศษ ตั้งแต่ทางยาวโฟกัสต่ำกว่า 28mm ลงมา เช่น 24mm, 20mm เป็นช่วงทางยาวโฟกัสที่ให้มุมมองภาพกว้างกว่า 80 องศา เรียกได้ว่ากว้างกว่าสายตาคนมองเห็น ช่วงนี้จะให้เพอสเปคทีพที่แปลกตา ยิ่งถ้าเป็นเลนส์มุมกว้างแบบฟิซอาย หรือ เลนส์ตาปลา ก็จะให้มุมมองเหมือนที่สายตาของปลามองเห็น (คงไม่แปลกใจที่ปลาจะมองเห็นไปถึงด้านหลัง เพราะอย่างนี้นี่เอง ฮาๆ)
เทเลโฟโต้ คงไม่เรียกว่ามุมแคบ เพราะมันฟังดูแปร่งๆ เอาเป็นว่า เทเลโฟโต้หมายถึงรูปภาพที่ซูมถ่ายจากระยะไกล ช่วงที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพคน ว่ากันว่าอยู่ที่ทางยาวโฟกัสราว 80 ถึง 135mm เพราะนอกจากจะได้ภาพครึ่งตัวของคนที่เพอสเปคทีพไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ภาพถ่ายแนวเทเลโฟโต้ยังมีจุดเด่นที่การเบลอฉากหลัง หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่าละลายฉากหลังนั่นเอง หน้าชัดหลังเบลอ ทำให้ภาพบุคคลดูลอยเด่นขึ้นมา ทั้งนี้จะเบลอมาก เบลอน้อย ค่ารูรับแสงหรือค่า f มีส่วนเกี่ยวข้องเยอะทีเดียว (ไว้คุยกันตอนหน้า)
ซุปเปอร์ซูม หรือซุปเปอร์เทเลโฟโต้ เลนส์ที่ช่วงทางยาวโฟกัสสูงๆ เช่น 300mm เป็นต้นไป ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งให้กำลังซูมที่ไกลมาก ละลายฉากหลังได้มาก ที่ตามมาคือมีโอกาสเบลอได้ง่ายถ้าความเร็วชัตเตอร์น้อย ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพนก ภาพสัตว์แบบไวด์ไลฟ์ หรือ ชีวิตสัตว์โลก ภาพถ่ายกีฬากลางแจ้ง เช่นฟุตบอล ภาพแนวนี้ส่วนใหญ่ฉากหลังจะละลาย การคุมค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายช่างภาพพอสมควร ... ใครจะเป็นปาปารัสซี่ก็ต้องใช้เลนส์ช่วงทางยาวโฟกัสอย่างนี้ล่ะครับ

ขอบคุณบทควาทดีๆ จาก Pixview.net ครับ

Read More

ISO นั้นสำคัญอย่างไร


ภาพตัวอย่างถ่ายด้วย ISO800 ครับ

เป็นคำถามง่ายๆ ที่ได้ยินบ่อยในแวดวงเพื่อนฝูงที่หัดถ่ายภาพ บ้างก็เข้าใจถูก บ้างก็เข้าใจผิด ISO มีไว้ทำอะไร? ผมขออธิบายแบบภาษาชาวบ้านว่า ISO เป็นมาตรฐานที่บอกความไวแสงของเซ็นเซอร์ของกล้อง แปลความหมายตรงตัวกับคำว่า “ความไวแสง” เราจะพูดกันถึงการใช้งานสองลักษณะ นั่นคือเมื่อไหร่ที่ควรใช้ความไวแสงมาก และเมื่อไหร่ควรใช้ความไวแสงน้อย

กล้อง DSLR รุ่นใหม่ๆ สามารถปรับค่าความไวแสง ได้ตั้งแต่ ISO100 ถึง ISO3200 ตัวเลขน้อยหมายถึงค่าความไวแสงน้อย ตัวเลขมากหมายถึงค่าความไวแสงมาก ส่วนกล้องดิจิตอลคอมแพค ตอนนี้ก็เร่ง ISO ได้สูงแล้วเช่นกัน แต่ในการใช้งานจริงกล้องดิจิตอลคอมแพคเปิด ISO สูงกว่า ISO400 แล้วจะมีเม็ดเกร็นเป็นจุดแดงๆ ขึ้นมากเกินไป ด้วยข้อจำกัดของเซ็นเซอร์ที่ใช้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า DSLR ประสิทธิภาพในการประมวลค่าแสงที่แม่นยำน้อยกว่า DSLR (ในขณะเร่ง ISO สูง)

ตัวเลขความไวแสง เช่น ISO100, ISO200, ISO320, ISO400 จะเป็นตัวบ่งบอกความไวในการรับแสงของเซ็นเซอร์ ในการถ่ายภาพเมื่อเราเพิ่มความไวแสง ผลที่เห็นชัดเจนคือเราจะได้ความเร็วชัตเตอร์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ขณะถ่ายภาพในบ้าน ใช้โหมด A ปรับค่ารูรับแสงคงที่
> เมื่อใช้ ISO100 ถ่ายด้วยโหมด A เปิดรูรับแสงไว้ที่ f/4 กล้องปรับค่าให้เป็น 1/45 วินาที
> เมื่อเพิ่ม ISO800 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/350 วินาที
> เมื่อเพิ่ม ISO1600 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/750 วินาที

ผลของภาพที่ได้มีความสว่างเท่ากัน แต่ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างกัน ฟังแล้วดูดีมากเลยใช่ไหมครับ ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มขึ้นก็หมายความว่าถ่ายภาพได้นิ่งและคมชัดยิ่งขึ้น ปัญหาเรื่องมือไม่นิ่งก็หายไปด้วย

แต่มีผลดีก็ย่อมต้องมีผลข้างเคียงตามมา .. การใช้ความไวแสงสูงขึ้น ก็จะทำให้กล้องรับสัญญาณแสงไม่พึงประสงค์เข้ามาด้วย ผลที่ได้ก็คือเม็ดเกร็นหยาบ หรือน๊อยส์ก็จะเกิดขึ้น

สรุปง่ายๆ คือ

ใช้ ISO ต่ำเมื่อ

* ต้องการไฟล์งานคุณภาพสูง
* ต้องการควบคุมความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลง เช่นถ่ายภาพน้ำตกให้นุ่ม จำเป็นต้องถ่ายที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เราจึงต้องตั้งค่า ISO ให้น้อยที่สุด เช่น ISO100 เป็นต้น
* ถ่ายภาพในสภาพแสงดี ควรใช้ ISO ต่ำเป็นค่าเริ่มต้น

ใช้ ISO สูงเมื่อ
* ต้องการถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้น เช่น ต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง อาจต้องการความเร็วชัตเตอร์สูงถึง 1/1000 วินาที ซึ่งใช้การเร่งความไวแสงช่วยได้ เช่น ISO800 เป็นต้น (สภาพแสงดี)
* ต้องการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย โดยไม่ใช้แฟลซ และไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เช่นถ่ายภาพในร่มเงา
* ถ่ายภาพคอนเสิร์ต มีการจัดแสง จัดไฟเวที หากต้องการเก็บแสงสีให้เหมือนบรรยากาศจริงๆ การเร่ง ISO และหลีกเลี่ยงการใช้แฟลซก็เป็นสิ่งจำเป็น

Read More

เคล็ดลับการจัดกระเป๋าเดินทาง


ช่วงเดือนสองเดือนนี้ ไม่ได้เดินทางไปถ่ายรูปต่างประเทศเลย เพราะอากาศร้อนมากๆ ในเกือบทุกๆประเทศ คงจะเริ่มเดินทางอีกประมาณเดือนตุลาคมนี้ เลยอยากเขียนอะไรเล่นๆ นึกถึงการจัดกระเป๋าเสื้อผ้า แต่คงไม่ใช่กระเป๋ากล้อง ถ้าเป็นอุปกรณ์กล้องคงต้องให้ หาว เป็นผู้แนะนำ


ถ้าเป็นการเดินทางไปซัก 2-3 วันคงไม่ปัญหา แต่หากต้องเดินทางประมาณ 7-15 วัน เพื่อไปถ่ายรูปนั้น คงต้องเตรียมเสื้อผ้า ยิ่งหากต้องไปประเทศที่มีอากาศแตกต่างกับประเทศไทย เช่น หนาวพอดีๆ หนาวสยิว และโค-ตะ-ระ หนาว เสื้อผ้าก็แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือการจัดเสื้อผ้า เลยมีข้อแนะนำ เป็นเกร็ด และ เคล็ดลับ


การจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า

ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอคือ เสื้อผ้าใส่แล้ว จะอยู่รวมกับเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่ ทำให้เกิดกลิ่นอับ เคล็ดลับ คือหาถุง Zip Lock จะมีถุง Zip Lock ที่ขนาดพอเหมะ ให้จัดเสื้อผ้า ทั้งเสื้อชั้นใน กางเกงใน เสื้อชั้นนอก กางเกง (กรณีต้องการเปลี่ยนกางเกงทุกวัน) ใส่ไว้ในถุง Zip Lock 1ถุงต่อหนึ่งวัน ฉะนั้นถ้าไป 7 วันก็จะมี 7 ถุง เสื้อผ้าที่ใส่แล้วในแต่ละวันจัดใส่ในถุง Zip Lock เสื้อผ้าใหม่ ก็จะไม่เหม็น เพราะส่วนมากเสื้อผ้าใส่แล้วก็จะยัดรวมกับเสื้อผ้าที่ไม่ใส่จะมีกลิ่นอับ ส่วนถุง Zip Lock หาได้ ถ้าไป Shopping Paragon ที่ Gourmet Market ซื้อของสดแล้วจะแถมถุง ดีและทน พลาสิตหนาดี ฉะนั้นในกระเป๋าเสื้อผ้า ก็จะมีถุง 7 ถุง ถ้าไป 7 วัน สะดวกดี


อาหารการกิน

เวลาผมเดินทางต่างประเทศ อาหารในแต่ละประเทศนั้นจะทานได้ไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาหนักๆ คืออาหารเช้า เพราะอยู่ประเทศไทย ตอนเช้าจะทานข้าว หรือไม่ก็ ไข่ดาวขนมปัง ตามโรงแรม แต่ไปต่างๆประเทศหลายๆ วัน สิ่งที่เอียนที่สุดคือ อาหารเช้า ในต่างประเทศนั้น อาหารเช้าเกือบจะทุกประเทศจะไม่มีวัฒนธรรมของอาหารเช้า บ้านเราอาหารเช้าปรับเปลียนตามที่เราต้องการจะทาน เช่น ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เขียวหวาน ต้มเลือดหมู โจ๊ก ข้าวต้ม ฉะนั้น อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวไป สิ่งที่ผมเตรียมไปในทุกทริปเดินทางคือ มาม่า แต่ที่จะขาดไม่ได้คือ โจ๊กคับ เอาไว้ทานแทนข้าวต้ม และจะนำเอาผักกาดกระป๋องเอาไว้ไปทำยำร่วมกับปลาสลิด เนื้อเค็ม รวมถึงพริกขี้หนู อาหารพวกนี้ต้องเลือกประเทศที่จะไปให้ดีๆ เช่น ออสเตรเลีย เอาอะไรไปไม่ได้เลย เค้าตรวจเข้มมาก ส่วนน้ำปลาพริกนั้น ตอนนี้มีน้ำปลาพริกอย่างซอง พกสะดวก ใช้สะดวก พริกป่นอย่างซอง น้ำพริก นรก สวรรค์ นิตยา แม่บ้านอัยการ ติดไปด้วย พริกขี้หนูนั้น เอาไปซัก 5-6 เม็ด ม้วนในกระดาษทิชชูใส่ซอง Zip Lock ขนาดเล็ก


อีกอย่างที่อยากแนะนำ มากๆ คือน้ำ เห็นว่าน้ำคงไม่มีปัญหา แต่จริงๆ แล้ว น้ำดื่มที่เป็นขวดนั้น หากซื้อในต่างประเทศนั้นจะแพงมาก น้ำขวดจะแพงกว่าเบียร์กระป๋อง (ฉะนั้น ดื่มเบียร์แทนน้ำเลย) สิ่งที่ควรจะเตรียมไป คือน้ำขวด ประมาณว่า ดื่มวันละ 2 ขวดยกโหลไปเลย ขาไปไม่มีปัญหาเรืองน้ำหนัก เพราะตอน check-in นั้น พนักงานเป็นคนไทยพูดรู้เรื่อง ถ้าน้ำหนักเกิน เปิดกระเป๋าให้พนักงานดูว่า ที่หนักคือ น้ำ ส่วนมากเค้าจะอนุโลมเพราะรู้ว่า น้ำขวดที่เมืองนอกนั้นแพง หากน้ำที่นำไปหมด ไม่ต้องซื้อนะ ให้ติดเอา ขดลวดต้มน้ำ (หากในที่พักไม่มีกระติกต้มน้ำร้อน) เพื่อต้มน้ำใส่ขวดที่เรานำไป


เข้าห้องน้ำ ปัญหาหนักอก

ห้องน้ำแต่ละประเทศ จะแตกต่างกัน เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ห้องน้ำจะดีมาก เมืองจีนอย่างที่รู้กันอยู่ ประเทศแถบยุโรป มีทั้งดีและไม่ดี มีเกร็ดเล็กๆ ให้สำหรับการเข้าห้องน้ำ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คุณผู้หญิงบางคนจะติดเอา น้ำยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์อย่างฉีด ไว้ทำความสะอาดที่รองนั่ง แต่ที่จะแนะนำคือ เวลาขึ้นเครื่องบิน ในห้องน้ำบนเครื่องบินจะมีกระดาษปูรองนั่ง กระดาษเนี่ยหล่ะ แอบหยิบเอามาแยะๆ เลย ใช้ประโยขน์ได้ดีนัก เอาติดใส่กระเป๋ากล้อง หรือกระเป๋าถือ ถึงเวลาฉุกเฉิน ใช้ดีนักแล และอีกอย่างหนึ่งคือ กระดาษเปียก ต้องมีติดตัดเอาไว้ เพราะถ้าเข้าห้องสุขาส่งFax เกิดไม่มีกระดาษ หรือสายชำระ กระดาษเปียกจะช่วยชีวิตคุณได้ ถ้าจะต้องเดินทางไปถ่ายรูปแบบ Trekking ตามป่าเขาลำเนาไพร ห้องน้ำอาจจะไม่มี แต่คุณผู้ชายคงไม่มีปัญหาหนัก เพราะสามารถ ยิงกระต่าย ยิงเก้ง ได้ แต่คุณผู้หญิงจะลำบากหน่อยคงจะหามุมอับลำบาก ที่จะแนะนำคือ pamper ของผู้ใหญ่ แบบที่พวก คุณหญิง คุณนาย ใส่เวลาออกงานสังคม ใส่เลยครับ ปวดตรงไหน ก็ตรงนั้น ไม่ต้องไปหา มุมอับ หาร่มมาบัง

คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย สะสมมาจากประสบการณ์ในการเดินทาง จริงๆ มีเคล็ดลับสำหรับการเดินทางไปลุยหิมะ หรือการเดินทางไกล ต้องต่อเครื่องบิน นานๆ มีเวลาจะเล่าให้ฟัง
สวัสดี
ขอบคุณบทความจาก thiti จาก 2how.com

Read More

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

เช็คสภาพกล้องมือสอง ก่อนซื้อ

- ตรวจดูราคามือ 1 ก่อนนะครับ ว่าแตกต่างจากมือสอง ที่เราจะซื้อหรือเปล่า (ยังไงมือ 1 ก็ดีกว่ามือ 2 ยังวันยังค่ำ)

- Print รายละเอียดที่ผู้ขายลงไว้ไปด้วย เพื่อเป็นหลักฐานว่าผู้ขาย Post ไว้อย่างไร จะได้โต้แย้งได้

- ถ้าไม่มั่นใจ หาเพื่อนที่เคยมีกล้องรุ่นนั้นๆ หรือดูกล้องเป็นไปด้วย

- ไม่ควรนัดในที่เปลี่ยว หรือบ้านของผู้ขายเนื่องจากอาจจะไม่ปลอดภัยได้ โดยเฉพาะผู้หญิง

- หากผู้ขายดูท่าทางรีบเร่ง หรือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ตรวจเช็ค ให้พึงระวังไว้ ว่าจะโดนย้อมแมวขาย(ไม่ต้องเกรงใจตรวจนานๆไปเลย)
- ตรวจดูรอยขีดข่วน ร่องรอยตกกระแทกที่ตัว Body ว่ามีหรือเปล่า ถ้าคิดมีการตกที่รุนแรงไม่แนะนำให้ซื้อ

- ตรวจดูที่น็อตทุกตัวว่ามีร่องรอยการไขออกมาหรือไม่ เพราะถ้ามีแสดงว่าเคยมีการเอาไปซ่อมมาก่อน

- ตรวจดู Serial Number ของกล้องว่าตรงกับที่ใบรับประกันหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ถือว่าเป็นเครื่องหิ้ว ถึงจะหมดประกันไปแล้วก็ต้องขอตรวจเช็คดูนะครับ

- ตรวจดูสภาพเลนส์(กรณีที่มีเลนส์แถม)หน้าเลนส์ต้องไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ ตรวจสภาพตรงเมาท์เลนส์ ว่าหมุนเข้า-ออกง่ายหรือไม่

- ลองส่องดูที่ช่องมองภาพว่ามีฝุ่นมากหรือเปล่า ถ้ามีก็ต่อราคาได้อีกนิดนึง เพราะเราต้องไปเอาฝุ่นออกกับทางศูนย์

- ลองถ่ายแล้วลองเช็ค Hot Pixel, Dead Pixel ถ้ามี Notebook จะดีมากเพราะจะได้เช็คได้อย่างสะดวก

- ลองถ่ายด้วยค่า F-Stop(ค่ารูรับแสง) ที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ภาพที่ได้ควรแตกต่างกันอย่างชัดเจน

- ลองกดเปิด Flash ดูว่า Flash Popup เปิดขึ้นมาง่ายหรือไม่

- ลองเปิด-ปิดกล้องดูหลายๆครั้ง ว่ากล้องยังทำงานปกติหรือไม่

- ระมัดระวังเรื่องแบตฯ เพราะขั้วแบตที่ตัว Body อาจจะเสื่อมได้ อาการคือ กล้องจะกินแบตมาก ถ่ายได้ 100 กว่ารูปก็แบตหมดแล้ว

- เอาแบบฟอร์มซื้อขายไปด้วย เพื่อเซ็นต์สัญญาซื้อขาย หากถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาขนมาได้จะดีมาก

Read More

กล(โกง) ร้านขายกล้อง

ในยุคที่ข้าวยาก หมาก (น่าจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน)แพง จะจับจ่ายใช้สอยอะไร ก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง โดยเฉพาะกล้องด้วยแล้ว ราคาไม่ใช้น้อยเลย ขยับตัวก็เป็นหลักพันทั้งนั้น

ในวงการร้านขายกล้อง ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก กำไรก็น้อยลง ผู้บริโภคก็ฉลาดขึ้น หันมาเช็คราคาของก่อนไปซื้อเป็นอย่างดี ทำให้กรณี?ต้มหมู? เหมือนสมัยยุคก่อนๆทำได้ยากมาก ผมเคยไปแอบดูร้านของเพื่อนที่มันขายกล้องอยู่ คุณเชื่อไหม ว่ากล้องบางรุ่นกำไร 2-3 ร้อยบาทเท่านั้นเอง เทียบกับราคากล้องที่เหยียบหลักหมื่นกันทั้งนั้น คุณลองคิดดูว่าถ้าขายไม่ออกซักตัว 2 ตัวก็ลำบากแล้ว(น่าเห็นใจ) แต่ในเรื่องนี้ผู้บริโภคอย่างเราไม่เกี่ยว(ก็อยากเปิดร้านขายเองนี่หว่า ตูไม่ได้บังคับซักหน่อย) แต่ที่เกี่ยวก็คือกลยุทธหลอกลวงผู้บริโภคแบบหลอกลวงนี่ซิที่ผมยอมไม่ได้ และต้องมาแฉให้ทุกคนได้รู้ไว้

กลยุทธที่ผมเคยเจอมาเอง(สมัยยังเป็นหมูให้เค้าเชือด) และจากที่ได้ยินได้ฟังมาพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้

1.แสดงราคาขายไว้ แต่เป็นราคาที่เอาอุปกรณ์มาตรฐานออก

ข้อนี้เรามักจะเจอกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าร้านดังๆหลายๆร้านเคยใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วโดยปกติถ้าเป็นกล้องรุ่นเดียวกัน ทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จะแถมอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เหมือนกันทุกร้านอยู่แล้ว เช่น รุ่นนี้จะแถม memory เท่าไหร่ แบตเตอรี่หรือกระเป๋ากล้องมีมั๊ย แต่เนื่องจากในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวัน คนที่จะซื้อกล้องเป็นจำนวนมากจะเช็คราคากล้องผ่านระบบ internet ก่อน ว่าร้านไหนถูกสุด จึงทำให้มีบางร้านที่หัวใส (แถวบ้านผมเรียกขี้โกง) ใส่ราคาไว้ใน internet ราคาถูกกว่าชาวบ้าน แต่พอไปถึงร้าน กลับบอกว่า ต้องซื้อโน่นเพิ่มบ้าง นี่เพิ่มบ้าง หรือแถมน้อยกว่าชาวบ้านบ้าง ทั้งที่ร้านอื่นแถมให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน(หมายถึงบริษัทแม่แถมมาให้อยู่แล้ว) พอรวมๆราคาแล้ว ราคาแพงกว่าชาวบ้านเค้าซะงั้น แต่ทำไงได้ละว่ะ ก็มาถึงร้านแล้วนี่ ยังไงก็ต้องซื้อ

สำหรับวิธีการแก้ไขสำหรับกรณีนี้คือ ก่อนจะไปซื้อเช็คให้ดีก่อนหลายๆร้าน โทรศัพท์ที่มีนะใช้ให้เป็นประโยชน์ เช็คให้ดีว่ารุ่นนี้เค้าแถมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ
- Memory แถมเท่าไหร่ 32,64,128 , 256 หรือ 512 เช็คให้ดี ถามให้ชัดเจนว่า ?แถม? หรือต้องซื้อเพิ่ม โดยส่วนใหญ่(99%)กล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีแถมมาด้วยอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
- Battery แถมรึเปล่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่แน่บางรุ่นก็ไม่แถม โดยเฉพาะรุ่นที่ราคา ไม่ถึง 12,000 นี่ไม่ค่อยแถมครับ ต้องซื้อเพิ่ม
- กระเป๋า อันนี้ก็แล้วแต่รุ่นเหมือนกัน บางทีทางร้านก็แถมของทางร้านเองให้
- ขาตั้งกล้อง อันนี้ไม่ค่อยแถมครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของทางร้านเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แถมของโหล ใช้งานไม่ค่อยได้) หรือถ้ามีแถมมาจากผู้ผลิต ก็จะเป็นอันเล็กๆ เหมาะจะเอามาประดับซะมากกว่า

แต่หากไปถึงร้านแล้วปรากฏว่า ไม่เป็นอย่างที่พูด หรือเห็นว่าเข้าข่าย ?หลอกกันนี่หว่า? แล้วละก็ วิธีการเดียวคือ ?กลับ? ครับ อย่าไปซื้อของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมไอ้พวกนี้ให้ได้ใจใหญ่เลย

2.แสดงราคาขายที่เป็นราคาเครื่องหิ้ว แต่เขียนให้เข้าใจผิดว่าเป็นราคาเครื่องศูนย์

กำไรของการขายเครื่องหิ้วและเครื่องศูนย์ต่างกันพอสมควรครับ อีกอย่างเครื่องศูนย์ มักจะมีการกำหนดราคาขายมาตายตัวมาจากบริษัทแม่(บางบริษัท นะครับ ไม่ใช่ทุกยี่ห้อ) ว่าให้ขายราคาเท่ากันหมด ทำให้ตัดราคาขายไม่ได้ จึงมีบางร้านหัวใส(อีกแล้ว) ใส่ราคากล้องไว้ในเว็บว่าราคาของตูถูกกว่าเป็นพันบาท แต่พอไปถึงร้านแล้ว ขอโทษ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ครับ เป็นเครื่องหิ้ว(เรียกอีกอย่างว่าหนีภาษีนั่นเอง) อันนี้ก็เจอบ่อยครับ โดยเฉพาะจ้าวใหญ่ๆที่มีการหิ้วกล้องเข้ามาขายเอง แล้วโฆษณาว่า?ถูกที่สุดในประเทศไทย? นี่แหละ ตัวดีเลย

วิธีแก้ก็เหมือนเดิมครับ โทรเช็คก่อน ว่าราคานี่เป็นเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ แล้วแถมอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะถ้ารวมราคาของแถมด้วยแล้วละก็ บางรุ่นเครื่องศูนย์ราคาถูกกว่าก็ยังมีเลย

3.ขายเครื่องหิ้ว ในราคาเครื่องศูนย์

อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอสมควร เพราะสามารถเรียกได้ว่าโกงอย่างเต็มปาก จึงไม่ค่อยเห็นร้านไหนทำเท่าไหร่ นอกจากหน้าตาคุณจะละม้ายคล้าย หมู(น่าต้ม) หรือ ลา(โง่) นั่นแหละ อาจจะมีโอกาสเจอได้

วิธีแก้ไขข้อนี้ไม่ยากครับ ดูใบรับประกันให้ดี(ดูว่าเป็นใบรับประกันของแท้ด้วยนะ ไม่ใช่ใบรับประกันทำเอง) ให้หมายเลขเครื่องตรงกับในใบรับประกันเป็นพอ

4.ใส่ราคาไว้ถูกกว่าชาวบ้าน แต่ถึงเวลาไปจริงๆไม่มีของ แต่เชียร์รุ่นอื่นแทน

อันนี้บอกยากเหมือนกันครับ ว่าเจตนาเป็นยังไง บางที่เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกครับ อย่างที่บอกว่ากล้องเดี๋ยวนี้กำไรไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับราคากล้อง ร้านส่วนใหญ่จึงมี stock ของเก็บไว้ไม่กี่ตัว โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมด้วยแล้ว บางร้านก็ไม่มีติดไว้ที่ร้านเลย แล้วถ้าจู่ๆคุณไปที่ร้านเค้าเลยแล้วเค้าบอกว่าของไม่มี หรือหมด คุณจะไปบอกว่าเค้าหลอกลวง มันคงไม่ใช่ แต่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงคือเค้าตั้งใจให้คุณไปที่ร้านแล้ว หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 7 ให้คุณซื้อรุ่นอื่น(ซึ่งเค้าอาจจะได้กำไรดีกว่า) อันนี้ก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้องนัก

วิธีการแก้ไขก็ไม่อยากเช่นกันครับ โทรศัพท์(อีกเช่นเคย) ไปถามเค้าก่อนว่ารุ่นนี้มีมั๊ย แล้วนัดเค้าให้ดีว่าวันไหนจะเข้าไปเอา ที่สำคัญอย่าลืมทิ้งเบอร์ไว้ให้เค้าด้วย ในกรณีที่ของหมดหรือไม่มีของกระทันหันให้เค้าโทรมาแจ้งเรานิดนึงจะได้ไม่เสียเวลา

5.โจมตีคู่แข่ง ยกหางร้านตัวเอง

เมื่อคู่แข่งมีมาก ตลาดยังมีเท่าเดิม วิธีการที่ร้านกล้องบางแห่งเลือกใช้คือ?โจมตี ป้ายสี ?ร้านคู่แข่ง และยกหางร้านตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ใช้กล้องมารวมกันเยอะๆ เช่น ในเว็บ Pantip หรือ เว็บ Taklong พวกนี้จะใช้วิธีให้คนของตนสมัครสมาชิกไว้หลายๆชื่อ หลังจากนั้น ก็จะคอยดูกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามเกี่ยวกับการซื้อกล้อง แล้วก็จะตอบว่า ?ร้าน....บริการดีครับ? ?ไปที่ร้าน.....ซิ ดีครับ ผมเคยซื้อมาแล้ว? อะไรทำนองนี้ครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาตอบแบบนี้ 80% จะเป็นพวกหน้ายาว(เหมือนม้า)ครับ ซึ่งสำหรับกรณีนี้ยังพอให้อภัย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อว่าร้านคู่แข่งอย่างเสียๆหายๆ แต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ทั้งที่จริงแล้วร้านที่มาโพสว่าคนอื่นเนี่ย อาจจะห่วยที่สุดก็ได้

อันนี้เราคงไม่ต้องแก้ไขหรอกครับ แต่จำไว้ในใจก็พอว่า?อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ?ครับ โดยเฉพาะในสื่อ internet ที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครเนี่ย ลองหาข้อมูลแบบอื่นๆดูบ้าง โทรไปคุยกับทางร้านดูก็ได้ ผมว่าร้านดีๆเค้าก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษาครับ

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่า ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้แล้วจะช่วยให้ทุกๆคน ซื้อกล้องได้ถูกสตางค์และถูกใจมากขึ้น จะทำยังไงได้ละครับ ยุคนี้มันยุค?ข้ารวยคนเดียว?นี่ คนมีสตางค์น้อยอย่างเราๆ ก็ต้องรู้จักวิธีการพวกนี้ไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกหลอกง่ายๆ ยังไงละครับ

ขอบคุณ เค แมน
จาก http://www.klongdigital.com/news2/show_news.php?newsid=3

Read More

ความแตกต่างของ "โปรถ่ายภาพ" กับ "โปรกล้อง"




โดนมากๆเลยครับ ^^

Read More

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของ Lens Hood


เลนส์ฮูด คืออุปกรณ์เสริมที่ใช้ร่วมกับเลนส์แบบต่างๆ กัน มีทั้งแบบเป็นถ้วย และแบบกลีบดอกไม้ ซึ่งเลนส์ตัวไหนจะใช้ Hood แบบไหนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวเลนส์นะครับ เพราะหากเลือก Hood ไม่เหมาะสม อาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ หรือ อาจทำให้ภาพเสียไปเลยด้วยซ้ำ

ประโยชน์ของเลนส์ Hood คือ เอาไว้ช่วยลดแสงรบกวนที่มาจากแหล่งกำเนิดแสงทิศทางอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ขอบๆ เลนส์ ที่จะทำให้เกิด glare ในภาพ ทำให้ contrast ของภาพมันลดลง เมื่อใส่ลงไปแล้ว มันก็จะช่วยบังแสงเอาไว้ ช่วยให้ภาพมี contrast ที่ดีขึ้น

ทีนี้การจะเลือกใช้ hood ก็ต้องดูว่าเลนส์ของเราเหมาะกับ hood ตัวไหน hood ยิ่งยาวมันก็จะยิ่งช่วยบังแสงได้ดี แต่ความยาวของมันก็ต้องดูที่เลนส์ของเราด้วย ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างไปใส่ hood ยาวมันก็จะติดขอบ hood หรือที่เรียกว่า vignette ที่มุมภาพ

ถ้า hood ยิ่งยาวมันก็ช่วยบังแสงได้ดี แต่ถ้า hood ที่มันยาวเกินไปสำหรับช่วงเลนส์นั้นๆ มันก็จะทำให้ติดขอบทุกๆ ด้าน เขาก็เลยทำ hood แบบกลีบดอกไม้ เพื่อที่จะให้ได้ hood ที่มีความยาวให้ได้ผลดีที่สุด และไม่ทำให้เกิดขอบดำหรือ vignette ที่มุมภาพ

แล้วทำไม hood แบบกลีบดอกไม้ถึงไม่ทำให้เกิด vignette ได้ ก็ลองมาดูตรงนี้ละกันนะครับ

ต้องเข้าใจว่า ...ภาพที่ผ่านเลนส์มันจะเป็นภาพกลมๆ ไปตกลงบนเซนเซอร์ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถ้าอยากจะเห็นภาพก็ลองวาดรูปวงกลม 1 รูป แล้ววาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้ได้สัดส่วนประมาณภาพถ่ายลงไปตรงกลางวงกลม ให้มุมของสี่เหลี่ยมแตะที่เส้นรอบวงของวงกลม

สีดำคือบริเวณภาพที่ได้จากเลนส์ ส่วนที่แดงคือส่วนที่ภาพจากเลนส์ไปตกลงเซนเซอร์ เห็นจะเห็นว่า ที่มุมของสี่เหลี่ยมสีแดงมันจะไปชิดติดกับเส้นรอบวงของวงกลมสีดำ ถ้าเราใช้เลนส์มุมกว้าง แล้วใช้ hood แบบถ้วยที่ยาวเกินไป มุมของสี่เหลี่ยมสีแดงมันจะเกิด vignette แต่ hood แบบกลีบดอกไม้มันจะบังเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านบน และด้านข้างเท่านั้น จึงทำให้ไม่เกิด vignette ดังกล่าว แล้วถ้าลองสังเกตดีดี เวลาใส่ hood เข้าที่หน้าเลนส์แล้ว กลีบ hood ด้านล่างและด้านบนจะยื่นยาวออกมากกว่า ...เอาไปเปรียบเทียบกับพื้นที่สีดำด้านบนล่าง และข้างๆ นะครับ

อีกอย่างหนึ่ง hood แบบกลีบดอกไม้นี้สามารถใช้ได้กับเลนส์ auto fucus ที่เวลา focus แล้วหน้าเลนส์ตรงที่เราใส่ hood นั้นไม่มีการหมุนไปมาตามการ fucus ด้วยนะครับ ถ้าใช้ DSLR แล้วมีเลนส์เพิ่ม ก็ต้องดูด้วยว่า hood นั้นเหมาะกับเลนส์ตัวไหน

Read More

Dynamic Rage คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร


หลายๆคนอาจสงสัยว่า Dynamic Range คืออะไร มันก็คือช่วงของความสามารถในการเก็บรายละเอียดของแสง(ไม่เกี่ยวกับความคมชัดของภาพนะครับ)มันมีสองด้าน คือด้านมืด และด้านสว่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วปัญหาของกล้องดิจิตอลคือความสามารถในการเก็บรายละเอียดแสงในด้านสว่าง นะครับ คือกล้องคนละตัวกัน ถ่าย shot เดียวกัน แสงเดียวกัน ถ้ากล้องที่ Dynamic Range ดีกว่า จะสามารถเห็นรายละเอียดของแสงมากกว่า เช่นรายละเอียดของเสื้อสีขาว ถ้ามองไม่เห็นรายละเอียดของเสื้อเลย ขาวเป็นปื้นๆ หรือว่าผิวหน้าคน ส่วนปลายจมูก หรือโหนกแก้มที่โดนแสงแล้วไม่เห็นรายละเอียด ขาวเป็นปื้นๆ อย่างนี้เรียกว่า Dynamic Range ไม่พอ เก็บรายละเอียดไม่ได้นะครับ ในที่นี้รวมไปถึงสีด้วยนะครับ เช่น แดงเป็นปื้นๆ เหลืองเป็นปื้นๆ แบบนี้เรียกกว่า Dynamic Rage ไม่พอเช่นกัน

ภาพที่มี Dynamic Range ที่ดีกว่า จะทำให้ภาพมีความสมบูรณ์มากกว่า หลายๆคนที่ใช้ฟีลม์แล้วหันมาใช้กล้องดิจิตอลแล้วไม่ชอบกล้องดิจิตอล หนึ่งเหตุุผลหลักๆก็คือเรื่อง Dynamic Range นี่แหละครับ เพราะว่าฟีลม์ทีความสามารถในการเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างได้ดี ยิ่งฟีลม์ Negative จะดีกว่าฟีลม์ Slide อีกด้วย ทำไมฟีลม์ Negative ถึง Dynamic Range ดีกว่า เดี๋ยวลองอ่านต่อไปเรื่อยๆนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
กล้องดิจิตอลก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง Dynamic Range อยู่นะครับ แล้วก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆซะด้วย วันนึงอาจจะแซงฟีลม์ก็ได้นะครับ หรือว่าแซงไปแล้วก็ไม่รู้ โดยเฉพาะกล้อง Fuji S3Pro เห็นพัฒนาเรื่องนี้เป็นจุดขายของกล้องกันเลย

เอาล่ะทีนี้มาอีกเรื่องนึง ปัจจัยของ Dynamic Range มาจากอะไรได้บ้าง ผมขอแยกเป็นหลายข้อหลักๆดังนี้นะครับ
1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
3. Contrast ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)
4. Saturation ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)

1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
ข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตรงตัวเลย คือว่าขึ้นอยู่กับกล้องนั่นเอง เช่น Fuji S3Pro ที่โมษณาว่า Dynamic Range ดี นั่นเพราะเซนเซอร์เค้าออกแบบมาโดยเฉพาะในเรื่องนี้ ยิ่งเซนเซอร์ตัวใหม่ๆก็มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาตรงจุดนี้ไปได้เรื่อยๆครับ
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
ข้อนี้ก็คือขึ้นอยู่กับกล้องอีกเหมือนกัน เช่นเซนเซอร์ตัวเดียวกันใช้กับกล้องหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ว่าความสามารถในเรื่อง Dynamic Range ก็ต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับการประมวลผลของกล้องนั่นเอง
3. Contrast ของภาพ
ข้อนี้แบ่งได้เป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกคือการปรับจากตัวกล้อง เช่นค่า Contrast เป็นลบหรือเป็นบวก ค่าต่างๆเหล่านี้มีผลต่อ Dynamic Range ครับ ถ้ากล้องตัวเดียวกัน ค่า Contrast ต่ำ จะมี Dynamic Range ดีกว่าถ่ายที่ค่า Contrast สูงๆ แต่ว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ คือ Contrast สูงๆภาพจะดูมีสีสันที่สดใสกว่าภาพที่ Contrast ต่ำ ก็อยู่ที่สภาพแสงในแต่ละรูปด้วยครับ ว่าควรจะใช้ค่าไหน แต่ถ้าผมแนะนำ ถ่าย Raw เอาไว้ดีที่สุดครับ เพราะนั่นคือเก็บทุกอย่างที่ความสามารถกล้องตัวนั้นๆจะทำได้เลยครับ

ส่วนที่ของก็คือส่วนเราปรับเองในโปรแกรมแต่งภาพ เช่น Photoshop นะครับ บางคนเห็นภาพสีสันไม่ค่อยสวย เลยปรับ Contrast มากขึ้น แน่นอนครับ ว่าสีสันของภาพจะต้องดูสดใสขึ้น แต่ยิ่งที่แลกมาก็คือรายละเอียดในส่วนสว่างนะ
ครับ ก็คือว่าสีสันที่สดใสมักจะสวนทางกับ Dynamic Range อยู่เสมอ นี่ก็คือเหตุผลที่ฟีมล์ Slide ถึงมี Dynamic Range สู้ฟีลม์ Negative ไม่ได้ ก็เพราะว่าฟีลม์ Slide มีสีสันที่สดกว่าฟีลม์ Negative ไงครับ อย่าลืมนะครับ Contrast กับ Dynamic Range มันคู่กัน คือได้อย่างต้องเสียอย่างครับ

มาดูสรุปกันบ้างนะครับ เหตุผลที่ผมเขียนบทความนี้ก็คือ ผมได้เข้าไปดูรูปที่คนหัดถ่ายรูปโพสมาให้ดู ผมว่าหลายๆภาพน่าเสียดายที่รายละเอียดในส่วนสว่างมันไม่ดีเอาซะเลย ทั้งๆที่ภาพสวย จริงๆผมคิดว่าภาพเหล่านั้น ต้นฉบับคงมีรายละเอียดในส่วนสว่างอยู่ แต่ว่าหลายๆคนปรับภาพโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องตรงจุดนี้ เค้าเพียงต้องการให้ภาพมีสีสันสดใส สว่างๆ จึงได้ปรับทั้ง Contrast หรือปรับ Saturate ด้วย เลยทำให้ภาพขาดความสมบูรณ์ไปไม่น้อย และคนจำนวนมากก็ชมภาพเหล่านี้ จริงๆอยู่ว่าภาพสวย แต่ว่าอย่าลืมดู
Dynamic Range ด้วยนะครับ เพื่อความสมบูรณ์ของภาพจริงๆ กล้องก็มีผลต่อ Dynamic Range ด้วยเช่นกัน

ขอบคุณบทความจาก www.thecameracity.com/article ครับ

Read More