วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

Dynamic Rage คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร


หลายๆคนอาจสงสัยว่า Dynamic Range คืออะไร มันก็คือช่วงของความสามารถในการเก็บรายละเอียดของแสง(ไม่เกี่ยวกับความคมชัดของภาพนะครับ)มันมีสองด้าน คือด้านมืด และด้านสว่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วปัญหาของกล้องดิจิตอลคือความสามารถในการเก็บรายละเอียดแสงในด้านสว่าง นะครับ คือกล้องคนละตัวกัน ถ่าย shot เดียวกัน แสงเดียวกัน ถ้ากล้องที่ Dynamic Range ดีกว่า จะสามารถเห็นรายละเอียดของแสงมากกว่า เช่นรายละเอียดของเสื้อสีขาว ถ้ามองไม่เห็นรายละเอียดของเสื้อเลย ขาวเป็นปื้นๆ หรือว่าผิวหน้าคน ส่วนปลายจมูก หรือโหนกแก้มที่โดนแสงแล้วไม่เห็นรายละเอียด ขาวเป็นปื้นๆ อย่างนี้เรียกว่า Dynamic Range ไม่พอ เก็บรายละเอียดไม่ได้นะครับ ในที่นี้รวมไปถึงสีด้วยนะครับ เช่น แดงเป็นปื้นๆ เหลืองเป็นปื้นๆ แบบนี้เรียกกว่า Dynamic Rage ไม่พอเช่นกัน

ภาพที่มี Dynamic Range ที่ดีกว่า จะทำให้ภาพมีความสมบูรณ์มากกว่า หลายๆคนที่ใช้ฟีลม์แล้วหันมาใช้กล้องดิจิตอลแล้วไม่ชอบกล้องดิจิตอล หนึ่งเหตุุผลหลักๆก็คือเรื่อง Dynamic Range นี่แหละครับ เพราะว่าฟีลม์ทีความสามารถในการเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างได้ดี ยิ่งฟีลม์ Negative จะดีกว่าฟีลม์ Slide อีกด้วย ทำไมฟีลม์ Negative ถึง Dynamic Range ดีกว่า เดี๋ยวลองอ่านต่อไปเรื่อยๆนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
กล้องดิจิตอลก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง Dynamic Range อยู่นะครับ แล้วก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆซะด้วย วันนึงอาจจะแซงฟีลม์ก็ได้นะครับ หรือว่าแซงไปแล้วก็ไม่รู้ โดยเฉพาะกล้อง Fuji S3Pro เห็นพัฒนาเรื่องนี้เป็นจุดขายของกล้องกันเลย

เอาล่ะทีนี้มาอีกเรื่องนึง ปัจจัยของ Dynamic Range มาจากอะไรได้บ้าง ผมขอแยกเป็นหลายข้อหลักๆดังนี้นะครับ
1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
3. Contrast ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)
4. Saturation ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)

1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
ข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตรงตัวเลย คือว่าขึ้นอยู่กับกล้องนั่นเอง เช่น Fuji S3Pro ที่โมษณาว่า Dynamic Range ดี นั่นเพราะเซนเซอร์เค้าออกแบบมาโดยเฉพาะในเรื่องนี้ ยิ่งเซนเซอร์ตัวใหม่ๆก็มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาตรงจุดนี้ไปได้เรื่อยๆครับ
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
ข้อนี้ก็คือขึ้นอยู่กับกล้องอีกเหมือนกัน เช่นเซนเซอร์ตัวเดียวกันใช้กับกล้องหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ว่าความสามารถในเรื่อง Dynamic Range ก็ต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับการประมวลผลของกล้องนั่นเอง
3. Contrast ของภาพ
ข้อนี้แบ่งได้เป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกคือการปรับจากตัวกล้อง เช่นค่า Contrast เป็นลบหรือเป็นบวก ค่าต่างๆเหล่านี้มีผลต่อ Dynamic Range ครับ ถ้ากล้องตัวเดียวกัน ค่า Contrast ต่ำ จะมี Dynamic Range ดีกว่าถ่ายที่ค่า Contrast สูงๆ แต่ว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ คือ Contrast สูงๆภาพจะดูมีสีสันที่สดใสกว่าภาพที่ Contrast ต่ำ ก็อยู่ที่สภาพแสงในแต่ละรูปด้วยครับ ว่าควรจะใช้ค่าไหน แต่ถ้าผมแนะนำ ถ่าย Raw เอาไว้ดีที่สุดครับ เพราะนั่นคือเก็บทุกอย่างที่ความสามารถกล้องตัวนั้นๆจะทำได้เลยครับ

ส่วนที่ของก็คือส่วนเราปรับเองในโปรแกรมแต่งภาพ เช่น Photoshop นะครับ บางคนเห็นภาพสีสันไม่ค่อยสวย เลยปรับ Contrast มากขึ้น แน่นอนครับ ว่าสีสันของภาพจะต้องดูสดใสขึ้น แต่ยิ่งที่แลกมาก็คือรายละเอียดในส่วนสว่างนะ
ครับ ก็คือว่าสีสันที่สดใสมักจะสวนทางกับ Dynamic Range อยู่เสมอ นี่ก็คือเหตุผลที่ฟีมล์ Slide ถึงมี Dynamic Range สู้ฟีลม์ Negative ไม่ได้ ก็เพราะว่าฟีลม์ Slide มีสีสันที่สดกว่าฟีลม์ Negative ไงครับ อย่าลืมนะครับ Contrast กับ Dynamic Range มันคู่กัน คือได้อย่างต้องเสียอย่างครับ

มาดูสรุปกันบ้างนะครับ เหตุผลที่ผมเขียนบทความนี้ก็คือ ผมได้เข้าไปดูรูปที่คนหัดถ่ายรูปโพสมาให้ดู ผมว่าหลายๆภาพน่าเสียดายที่รายละเอียดในส่วนสว่างมันไม่ดีเอาซะเลย ทั้งๆที่ภาพสวย จริงๆผมคิดว่าภาพเหล่านั้น ต้นฉบับคงมีรายละเอียดในส่วนสว่างอยู่ แต่ว่าหลายๆคนปรับภาพโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องตรงจุดนี้ เค้าเพียงต้องการให้ภาพมีสีสันสดใส สว่างๆ จึงได้ปรับทั้ง Contrast หรือปรับ Saturate ด้วย เลยทำให้ภาพขาดความสมบูรณ์ไปไม่น้อย และคนจำนวนมากก็ชมภาพเหล่านี้ จริงๆอยู่ว่าภาพสวย แต่ว่าอย่าลืมดู
Dynamic Range ด้วยนะครับ เพื่อความสมบูรณ์ของภาพจริงๆ กล้องก็มีผลต่อ Dynamic Range ด้วยเช่นกัน

ขอบคุณบทความจาก www.thecameracity.com/article ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น