วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

รอบรู้เรื่อง "มุมมองภาพ"




เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ให้ดูภาพประกอบ Angle of View ด้านบนนี้เป็นรูปที่เกิดจากเลนส์ทางยาวโฟกัสต่างๆ และมุมมองภาพที่ได้ต่อทางยาวโฟกัสนั้นๆ (กดที่ภาพเพื่อขยาย)

มุมมองภาพ (Angle of View)
ทางยาวโฟกัสของเลนส์ เป็นตัวบ่งบอกพื้นที่ซึ่งเป้าหมายจะถูกสร้างเป็นภาพขึ้นบนพื้นผิวเซ็นเซอร์ มุมมองภาพหรือ Angle of View เป็นมุมหรือองศาของภาพที่เกิดจากเลนส์ จำได้ว่าตอนเรียนวิทยาศาสตร์ คุณครูสอนว่าตาเรามองเห็นภาพ เกิดจากแสงกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนมาที่ดวงตาเรา (คงไม่ต้องพูดให้ฟังถึงขั้นเรตินาในดวงตา อิอิ) มุมที่ตาคนเรามองเห็นค่อนข้างกว้าง วัดเป็นองศาได้โดยให้ตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ด้านหน้าตัวเราเป็นระนาบแกน y ส่วนระนาบแกน x คือเส้นที่ลากผ่านแขนซ้ายไปทะลุแขนขวา องศาที่คนเราสามารถมองเห็นด้านหน้าจะเป็นรูปกรวย ประมาณ 80 องศาน่าจะได้

เลนส์เป็นตัวรับแสงเข้ามาและกระจายแสงลงสู่ผิวเซ็นเซอร์ เปรียบได้กับการฉายภาพ คุณสมบัติของเลนส์จะแตกต่างกันตามทางยาวโฟกัส เช่น 28mm, 135mm ตัวเลขทางยาวโฟกัสยิ่งน้อย ยิ่งให้มุมมองภาพกว้าง ถ้าทางยาวโฟกัสตัวเลขสูง เช่น 200mm มุมมองภาพก็จะแคบลง และเมื่อมุมมองภาพแคบลง วัตถุที่เราโฟกัสก็จะขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเลนส์ซูมนั่นเอง

ประโยชน์ของมุมมองภาพที่ทางยาวโฟกัสต่างๆ จะช่วยให้เราได้เพอสเปคทีพของภาพที่แตกต่างกัน งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนหลังกล้องแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกใช้ทางยาวโฟกัสช่วงไหน เพื่อสร้างภาพถ่ายในแบบฉบับของตนเอง

คำแนะนำเกี่ยวกับมุมมองภาพ

มุมกว้าง ตั้งแต่ทางยาวโฟกัส 35mm ลงมา เป็นมุมกว้าง เรียกว่าไวด์ (wide) เหมาะสำหรับถ่ายภาพวิว ทิวทัศน์ จะเห็นว่าเลนส์คิทที่แถมมากับกล้อง DSLR มักจะเป็นเลนส์นอมอลซูม หรือ ช่วงซูมปกติ เช่น 18-55mm ของแคนนอน คูณตัวคูณ (FOV : จะเล่าให้ฟังอีกครั้งเร็วๆ นี้) เทียบเท่า 28-88mm ในกล้อง 35mm หมายความว่าช่วงมุมกว้างสุดของเลนส์คิทกระบอกนี้คือ 28mm จะให้มุมกว้างที่ใกล้เคียงกับตาคนมองเห็น เหมาะสำหรับถ่ายภาพเหมือนตาเห็น เช่นภาพวิว ภาพหมู่ เป็นต้น
มุมกว้างพิเศษ ตั้งแต่ทางยาวโฟกัสต่ำกว่า 28mm ลงมา เช่น 24mm, 20mm เป็นช่วงทางยาวโฟกัสที่ให้มุมมองภาพกว้างกว่า 80 องศา เรียกได้ว่ากว้างกว่าสายตาคนมองเห็น ช่วงนี้จะให้เพอสเปคทีพที่แปลกตา ยิ่งถ้าเป็นเลนส์มุมกว้างแบบฟิซอาย หรือ เลนส์ตาปลา ก็จะให้มุมมองเหมือนที่สายตาของปลามองเห็น (คงไม่แปลกใจที่ปลาจะมองเห็นไปถึงด้านหลัง เพราะอย่างนี้นี่เอง ฮาๆ)
เทเลโฟโต้ คงไม่เรียกว่ามุมแคบ เพราะมันฟังดูแปร่งๆ เอาเป็นว่า เทเลโฟโต้หมายถึงรูปภาพที่ซูมถ่ายจากระยะไกล ช่วงที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพคน ว่ากันว่าอยู่ที่ทางยาวโฟกัสราว 80 ถึง 135mm เพราะนอกจากจะได้ภาพครึ่งตัวของคนที่เพอสเปคทีพไม่ผิดเพี้ยนแล้ว ภาพถ่ายแนวเทเลโฟโต้ยังมีจุดเด่นที่การเบลอฉากหลัง หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่าละลายฉากหลังนั่นเอง หน้าชัดหลังเบลอ ทำให้ภาพบุคคลดูลอยเด่นขึ้นมา ทั้งนี้จะเบลอมาก เบลอน้อย ค่ารูรับแสงหรือค่า f มีส่วนเกี่ยวข้องเยอะทีเดียว (ไว้คุยกันตอนหน้า)
ซุปเปอร์ซูม หรือซุปเปอร์เทเลโฟโต้ เลนส์ที่ช่วงทางยาวโฟกัสสูงๆ เช่น 300mm เป็นต้นไป ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งให้กำลังซูมที่ไกลมาก ละลายฉากหลังได้มาก ที่ตามมาคือมีโอกาสเบลอได้ง่ายถ้าความเร็วชัตเตอร์น้อย ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพนก ภาพสัตว์แบบไวด์ไลฟ์ หรือ ชีวิตสัตว์โลก ภาพถ่ายกีฬากลางแจ้ง เช่นฟุตบอล ภาพแนวนี้ส่วนใหญ่ฉากหลังจะละลาย การคุมค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายช่างภาพพอสมควร ... ใครจะเป็นปาปารัสซี่ก็ต้องใช้เลนส์ช่วงทางยาวโฟกัสอย่างนี้ล่ะครับ

ขอบคุณบทควาทดีๆ จาก Pixview.net ครับ

Read More

ISO นั้นสำคัญอย่างไร


ภาพตัวอย่างถ่ายด้วย ISO800 ครับ

เป็นคำถามง่ายๆ ที่ได้ยินบ่อยในแวดวงเพื่อนฝูงที่หัดถ่ายภาพ บ้างก็เข้าใจถูก บ้างก็เข้าใจผิด ISO มีไว้ทำอะไร? ผมขออธิบายแบบภาษาชาวบ้านว่า ISO เป็นมาตรฐานที่บอกความไวแสงของเซ็นเซอร์ของกล้อง แปลความหมายตรงตัวกับคำว่า “ความไวแสง” เราจะพูดกันถึงการใช้งานสองลักษณะ นั่นคือเมื่อไหร่ที่ควรใช้ความไวแสงมาก และเมื่อไหร่ควรใช้ความไวแสงน้อย

กล้อง DSLR รุ่นใหม่ๆ สามารถปรับค่าความไวแสง ได้ตั้งแต่ ISO100 ถึง ISO3200 ตัวเลขน้อยหมายถึงค่าความไวแสงน้อย ตัวเลขมากหมายถึงค่าความไวแสงมาก ส่วนกล้องดิจิตอลคอมแพค ตอนนี้ก็เร่ง ISO ได้สูงแล้วเช่นกัน แต่ในการใช้งานจริงกล้องดิจิตอลคอมแพคเปิด ISO สูงกว่า ISO400 แล้วจะมีเม็ดเกร็นเป็นจุดแดงๆ ขึ้นมากเกินไป ด้วยข้อจำกัดของเซ็นเซอร์ที่ใช้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า DSLR ประสิทธิภาพในการประมวลค่าแสงที่แม่นยำน้อยกว่า DSLR (ในขณะเร่ง ISO สูง)

ตัวเลขความไวแสง เช่น ISO100, ISO200, ISO320, ISO400 จะเป็นตัวบ่งบอกความไวในการรับแสงของเซ็นเซอร์ ในการถ่ายภาพเมื่อเราเพิ่มความไวแสง ผลที่เห็นชัดเจนคือเราจะได้ความเร็วชัตเตอร์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ขณะถ่ายภาพในบ้าน ใช้โหมด A ปรับค่ารูรับแสงคงที่
> เมื่อใช้ ISO100 ถ่ายด้วยโหมด A เปิดรูรับแสงไว้ที่ f/4 กล้องปรับค่าให้เป็น 1/45 วินาที
> เมื่อเพิ่ม ISO800 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/350 วินาที
> เมื่อเพิ่ม ISO1600 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/750 วินาที

ผลของภาพที่ได้มีความสว่างเท่ากัน แต่ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างกัน ฟังแล้วดูดีมากเลยใช่ไหมครับ ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มขึ้นก็หมายความว่าถ่ายภาพได้นิ่งและคมชัดยิ่งขึ้น ปัญหาเรื่องมือไม่นิ่งก็หายไปด้วย

แต่มีผลดีก็ย่อมต้องมีผลข้างเคียงตามมา .. การใช้ความไวแสงสูงขึ้น ก็จะทำให้กล้องรับสัญญาณแสงไม่พึงประสงค์เข้ามาด้วย ผลที่ได้ก็คือเม็ดเกร็นหยาบ หรือน๊อยส์ก็จะเกิดขึ้น

สรุปง่ายๆ คือ

ใช้ ISO ต่ำเมื่อ

* ต้องการไฟล์งานคุณภาพสูง
* ต้องการควบคุมความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลง เช่นถ่ายภาพน้ำตกให้นุ่ม จำเป็นต้องถ่ายที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เราจึงต้องตั้งค่า ISO ให้น้อยที่สุด เช่น ISO100 เป็นต้น
* ถ่ายภาพในสภาพแสงดี ควรใช้ ISO ต่ำเป็นค่าเริ่มต้น

ใช้ ISO สูงเมื่อ
* ต้องการถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้น เช่น ต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง อาจต้องการความเร็วชัตเตอร์สูงถึง 1/1000 วินาที ซึ่งใช้การเร่งความไวแสงช่วยได้ เช่น ISO800 เป็นต้น (สภาพแสงดี)
* ต้องการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย โดยไม่ใช้แฟลซ และไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เช่นถ่ายภาพในร่มเงา
* ถ่ายภาพคอนเสิร์ต มีการจัดแสง จัดไฟเวที หากต้องการเก็บแสงสีให้เหมือนบรรยากาศจริงๆ การเร่ง ISO และหลีกเลี่ยงการใช้แฟลซก็เป็นสิ่งจำเป็น

Read More

เคล็ดลับการจัดกระเป๋าเดินทาง


ช่วงเดือนสองเดือนนี้ ไม่ได้เดินทางไปถ่ายรูปต่างประเทศเลย เพราะอากาศร้อนมากๆ ในเกือบทุกๆประเทศ คงจะเริ่มเดินทางอีกประมาณเดือนตุลาคมนี้ เลยอยากเขียนอะไรเล่นๆ นึกถึงการจัดกระเป๋าเสื้อผ้า แต่คงไม่ใช่กระเป๋ากล้อง ถ้าเป็นอุปกรณ์กล้องคงต้องให้ หาว เป็นผู้แนะนำ


ถ้าเป็นการเดินทางไปซัก 2-3 วันคงไม่ปัญหา แต่หากต้องเดินทางประมาณ 7-15 วัน เพื่อไปถ่ายรูปนั้น คงต้องเตรียมเสื้อผ้า ยิ่งหากต้องไปประเทศที่มีอากาศแตกต่างกับประเทศไทย เช่น หนาวพอดีๆ หนาวสยิว และโค-ตะ-ระ หนาว เสื้อผ้าก็แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญคือการจัดเสื้อผ้า เลยมีข้อแนะนำ เป็นเกร็ด และ เคล็ดลับ


การจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า

ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอคือ เสื้อผ้าใส่แล้ว จะอยู่รวมกับเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่ ทำให้เกิดกลิ่นอับ เคล็ดลับ คือหาถุง Zip Lock จะมีถุง Zip Lock ที่ขนาดพอเหมะ ให้จัดเสื้อผ้า ทั้งเสื้อชั้นใน กางเกงใน เสื้อชั้นนอก กางเกง (กรณีต้องการเปลี่ยนกางเกงทุกวัน) ใส่ไว้ในถุง Zip Lock 1ถุงต่อหนึ่งวัน ฉะนั้นถ้าไป 7 วันก็จะมี 7 ถุง เสื้อผ้าที่ใส่แล้วในแต่ละวันจัดใส่ในถุง Zip Lock เสื้อผ้าใหม่ ก็จะไม่เหม็น เพราะส่วนมากเสื้อผ้าใส่แล้วก็จะยัดรวมกับเสื้อผ้าที่ไม่ใส่จะมีกลิ่นอับ ส่วนถุง Zip Lock หาได้ ถ้าไป Shopping Paragon ที่ Gourmet Market ซื้อของสดแล้วจะแถมถุง ดีและทน พลาสิตหนาดี ฉะนั้นในกระเป๋าเสื้อผ้า ก็จะมีถุง 7 ถุง ถ้าไป 7 วัน สะดวกดี


อาหารการกิน

เวลาผมเดินทางต่างประเทศ อาหารในแต่ละประเทศนั้นจะทานได้ไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาหนักๆ คืออาหารเช้า เพราะอยู่ประเทศไทย ตอนเช้าจะทานข้าว หรือไม่ก็ ไข่ดาวขนมปัง ตามโรงแรม แต่ไปต่างๆประเทศหลายๆ วัน สิ่งที่เอียนที่สุดคือ อาหารเช้า ในต่างประเทศนั้น อาหารเช้าเกือบจะทุกประเทศจะไม่มีวัฒนธรรมของอาหารเช้า บ้านเราอาหารเช้าปรับเปลียนตามที่เราต้องการจะทาน เช่น ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เขียวหวาน ต้มเลือดหมู โจ๊ก ข้าวต้ม ฉะนั้น อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่ต้องเตรียมตัวไป สิ่งที่ผมเตรียมไปในทุกทริปเดินทางคือ มาม่า แต่ที่จะขาดไม่ได้คือ โจ๊กคับ เอาไว้ทานแทนข้าวต้ม และจะนำเอาผักกาดกระป๋องเอาไว้ไปทำยำร่วมกับปลาสลิด เนื้อเค็ม รวมถึงพริกขี้หนู อาหารพวกนี้ต้องเลือกประเทศที่จะไปให้ดีๆ เช่น ออสเตรเลีย เอาอะไรไปไม่ได้เลย เค้าตรวจเข้มมาก ส่วนน้ำปลาพริกนั้น ตอนนี้มีน้ำปลาพริกอย่างซอง พกสะดวก ใช้สะดวก พริกป่นอย่างซอง น้ำพริก นรก สวรรค์ นิตยา แม่บ้านอัยการ ติดไปด้วย พริกขี้หนูนั้น เอาไปซัก 5-6 เม็ด ม้วนในกระดาษทิชชูใส่ซอง Zip Lock ขนาดเล็ก


อีกอย่างที่อยากแนะนำ มากๆ คือน้ำ เห็นว่าน้ำคงไม่มีปัญหา แต่จริงๆ แล้ว น้ำดื่มที่เป็นขวดนั้น หากซื้อในต่างประเทศนั้นจะแพงมาก น้ำขวดจะแพงกว่าเบียร์กระป๋อง (ฉะนั้น ดื่มเบียร์แทนน้ำเลย) สิ่งที่ควรจะเตรียมไป คือน้ำขวด ประมาณว่า ดื่มวันละ 2 ขวดยกโหลไปเลย ขาไปไม่มีปัญหาเรืองน้ำหนัก เพราะตอน check-in นั้น พนักงานเป็นคนไทยพูดรู้เรื่อง ถ้าน้ำหนักเกิน เปิดกระเป๋าให้พนักงานดูว่า ที่หนักคือ น้ำ ส่วนมากเค้าจะอนุโลมเพราะรู้ว่า น้ำขวดที่เมืองนอกนั้นแพง หากน้ำที่นำไปหมด ไม่ต้องซื้อนะ ให้ติดเอา ขดลวดต้มน้ำ (หากในที่พักไม่มีกระติกต้มน้ำร้อน) เพื่อต้มน้ำใส่ขวดที่เรานำไป


เข้าห้องน้ำ ปัญหาหนักอก

ห้องน้ำแต่ละประเทศ จะแตกต่างกัน เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ห้องน้ำจะดีมาก เมืองจีนอย่างที่รู้กันอยู่ ประเทศแถบยุโรป มีทั้งดีและไม่ดี มีเกร็ดเล็กๆ ให้สำหรับการเข้าห้องน้ำ โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คุณผู้หญิงบางคนจะติดเอา น้ำยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์อย่างฉีด ไว้ทำความสะอาดที่รองนั่ง แต่ที่จะแนะนำคือ เวลาขึ้นเครื่องบิน ในห้องน้ำบนเครื่องบินจะมีกระดาษปูรองนั่ง กระดาษเนี่ยหล่ะ แอบหยิบเอามาแยะๆ เลย ใช้ประโยขน์ได้ดีนัก เอาติดใส่กระเป๋ากล้อง หรือกระเป๋าถือ ถึงเวลาฉุกเฉิน ใช้ดีนักแล และอีกอย่างหนึ่งคือ กระดาษเปียก ต้องมีติดตัดเอาไว้ เพราะถ้าเข้าห้องสุขาส่งFax เกิดไม่มีกระดาษ หรือสายชำระ กระดาษเปียกจะช่วยชีวิตคุณได้ ถ้าจะต้องเดินทางไปถ่ายรูปแบบ Trekking ตามป่าเขาลำเนาไพร ห้องน้ำอาจจะไม่มี แต่คุณผู้ชายคงไม่มีปัญหาหนัก เพราะสามารถ ยิงกระต่าย ยิงเก้ง ได้ แต่คุณผู้หญิงจะลำบากหน่อยคงจะหามุมอับลำบาก ที่จะแนะนำคือ pamper ของผู้ใหญ่ แบบที่พวก คุณหญิง คุณนาย ใส่เวลาออกงานสังคม ใส่เลยครับ ปวดตรงไหน ก็ตรงนั้น ไม่ต้องไปหา มุมอับ หาร่มมาบัง

คิดว่าคงจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อย สะสมมาจากประสบการณ์ในการเดินทาง จริงๆ มีเคล็ดลับสำหรับการเดินทางไปลุยหิมะ หรือการเดินทางไกล ต้องต่อเครื่องบิน นานๆ มีเวลาจะเล่าให้ฟัง
สวัสดี
ขอบคุณบทความจาก thiti จาก 2how.com

Read More

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

เช็คสภาพกล้องมือสอง ก่อนซื้อ

- ตรวจดูราคามือ 1 ก่อนนะครับ ว่าแตกต่างจากมือสอง ที่เราจะซื้อหรือเปล่า (ยังไงมือ 1 ก็ดีกว่ามือ 2 ยังวันยังค่ำ)

- Print รายละเอียดที่ผู้ขายลงไว้ไปด้วย เพื่อเป็นหลักฐานว่าผู้ขาย Post ไว้อย่างไร จะได้โต้แย้งได้

- ถ้าไม่มั่นใจ หาเพื่อนที่เคยมีกล้องรุ่นนั้นๆ หรือดูกล้องเป็นไปด้วย

- ไม่ควรนัดในที่เปลี่ยว หรือบ้านของผู้ขายเนื่องจากอาจจะไม่ปลอดภัยได้ โดยเฉพาะผู้หญิง

- หากผู้ขายดูท่าทางรีบเร่ง หรือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ตรวจเช็ค ให้พึงระวังไว้ ว่าจะโดนย้อมแมวขาย(ไม่ต้องเกรงใจตรวจนานๆไปเลย)
- ตรวจดูรอยขีดข่วน ร่องรอยตกกระแทกที่ตัว Body ว่ามีหรือเปล่า ถ้าคิดมีการตกที่รุนแรงไม่แนะนำให้ซื้อ

- ตรวจดูที่น็อตทุกตัวว่ามีร่องรอยการไขออกมาหรือไม่ เพราะถ้ามีแสดงว่าเคยมีการเอาไปซ่อมมาก่อน

- ตรวจดู Serial Number ของกล้องว่าตรงกับที่ใบรับประกันหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ถือว่าเป็นเครื่องหิ้ว ถึงจะหมดประกันไปแล้วก็ต้องขอตรวจเช็คดูนะครับ

- ตรวจดูสภาพเลนส์(กรณีที่มีเลนส์แถม)หน้าเลนส์ต้องไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ ตรวจสภาพตรงเมาท์เลนส์ ว่าหมุนเข้า-ออกง่ายหรือไม่

- ลองส่องดูที่ช่องมองภาพว่ามีฝุ่นมากหรือเปล่า ถ้ามีก็ต่อราคาได้อีกนิดนึง เพราะเราต้องไปเอาฝุ่นออกกับทางศูนย์

- ลองถ่ายแล้วลองเช็ค Hot Pixel, Dead Pixel ถ้ามี Notebook จะดีมากเพราะจะได้เช็คได้อย่างสะดวก

- ลองถ่ายด้วยค่า F-Stop(ค่ารูรับแสง) ที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ภาพที่ได้ควรแตกต่างกันอย่างชัดเจน

- ลองกดเปิด Flash ดูว่า Flash Popup เปิดขึ้นมาง่ายหรือไม่

- ลองเปิด-ปิดกล้องดูหลายๆครั้ง ว่ากล้องยังทำงานปกติหรือไม่

- ระมัดระวังเรื่องแบตฯ เพราะขั้วแบตที่ตัว Body อาจจะเสื่อมได้ อาการคือ กล้องจะกินแบตมาก ถ่ายได้ 100 กว่ารูปก็แบตหมดแล้ว

- เอาแบบฟอร์มซื้อขายไปด้วย เพื่อเซ็นต์สัญญาซื้อขาย หากถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาขนมาได้จะดีมาก

Read More

กล(โกง) ร้านขายกล้อง

ในยุคที่ข้าวยาก หมาก (น่าจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน)แพง จะจับจ่ายใช้สอยอะไร ก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง โดยเฉพาะกล้องด้วยแล้ว ราคาไม่ใช้น้อยเลย ขยับตัวก็เป็นหลักพันทั้งนั้น

ในวงการร้านขายกล้อง ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก กำไรก็น้อยลง ผู้บริโภคก็ฉลาดขึ้น หันมาเช็คราคาของก่อนไปซื้อเป็นอย่างดี ทำให้กรณี?ต้มหมู? เหมือนสมัยยุคก่อนๆทำได้ยากมาก ผมเคยไปแอบดูร้านของเพื่อนที่มันขายกล้องอยู่ คุณเชื่อไหม ว่ากล้องบางรุ่นกำไร 2-3 ร้อยบาทเท่านั้นเอง เทียบกับราคากล้องที่เหยียบหลักหมื่นกันทั้งนั้น คุณลองคิดดูว่าถ้าขายไม่ออกซักตัว 2 ตัวก็ลำบากแล้ว(น่าเห็นใจ) แต่ในเรื่องนี้ผู้บริโภคอย่างเราไม่เกี่ยว(ก็อยากเปิดร้านขายเองนี่หว่า ตูไม่ได้บังคับซักหน่อย) แต่ที่เกี่ยวก็คือกลยุทธหลอกลวงผู้บริโภคแบบหลอกลวงนี่ซิที่ผมยอมไม่ได้ และต้องมาแฉให้ทุกคนได้รู้ไว้

กลยุทธที่ผมเคยเจอมาเอง(สมัยยังเป็นหมูให้เค้าเชือด) และจากที่ได้ยินได้ฟังมาพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้

1.แสดงราคาขายไว้ แต่เป็นราคาที่เอาอุปกรณ์มาตรฐานออก

ข้อนี้เรามักจะเจอกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าร้านดังๆหลายๆร้านเคยใช้วิธีนี้ จริงๆแล้วโดยปกติถ้าเป็นกล้องรุ่นเดียวกัน ทางตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จะแถมอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เหมือนกันทุกร้านอยู่แล้ว เช่น รุ่นนี้จะแถม memory เท่าไหร่ แบตเตอรี่หรือกระเป๋ากล้องมีมั๊ย แต่เนื่องจากในยุคที่อินเตอร์เนตเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวัน คนที่จะซื้อกล้องเป็นจำนวนมากจะเช็คราคากล้องผ่านระบบ internet ก่อน ว่าร้านไหนถูกสุด จึงทำให้มีบางร้านที่หัวใส (แถวบ้านผมเรียกขี้โกง) ใส่ราคาไว้ใน internet ราคาถูกกว่าชาวบ้าน แต่พอไปถึงร้าน กลับบอกว่า ต้องซื้อโน่นเพิ่มบ้าง นี่เพิ่มบ้าง หรือแถมน้อยกว่าชาวบ้านบ้าง ทั้งที่ร้านอื่นแถมให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน(หมายถึงบริษัทแม่แถมมาให้อยู่แล้ว) พอรวมๆราคาแล้ว ราคาแพงกว่าชาวบ้านเค้าซะงั้น แต่ทำไงได้ละว่ะ ก็มาถึงร้านแล้วนี่ ยังไงก็ต้องซื้อ

สำหรับวิธีการแก้ไขสำหรับกรณีนี้คือ ก่อนจะไปซื้อเช็คให้ดีก่อนหลายๆร้าน โทรศัพท์ที่มีนะใช้ให้เป็นประโยชน์ เช็คให้ดีว่ารุ่นนี้เค้าแถมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ที่สำคัญคือ
- Memory แถมเท่าไหร่ 32,64,128 , 256 หรือ 512 เช็คให้ดี ถามให้ชัดเจนว่า ?แถม? หรือต้องซื้อเพิ่ม โดยส่วนใหญ่(99%)กล้องดิจิตอลทุกรุ่นจะมีแถมมาด้วยอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
- Battery แถมรึเปล่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่แน่บางรุ่นก็ไม่แถม โดยเฉพาะรุ่นที่ราคา ไม่ถึง 12,000 นี่ไม่ค่อยแถมครับ ต้องซื้อเพิ่ม
- กระเป๋า อันนี้ก็แล้วแต่รุ่นเหมือนกัน บางทีทางร้านก็แถมของทางร้านเองให้
- ขาตั้งกล้อง อันนี้ไม่ค่อยแถมครับ ส่วนใหญ่จะเป็นของทางร้านเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็แถมของโหล ใช้งานไม่ค่อยได้) หรือถ้ามีแถมมาจากผู้ผลิต ก็จะเป็นอันเล็กๆ เหมาะจะเอามาประดับซะมากกว่า

แต่หากไปถึงร้านแล้วปรากฏว่า ไม่เป็นอย่างที่พูด หรือเห็นว่าเข้าข่าย ?หลอกกันนี่หว่า? แล้วละก็ วิธีการเดียวคือ ?กลับ? ครับ อย่าไปซื้อของมัน ถ้าไม่อย่างนั้นเท่ากับเป็นการส่งเสริมไอ้พวกนี้ให้ได้ใจใหญ่เลย

2.แสดงราคาขายที่เป็นราคาเครื่องหิ้ว แต่เขียนให้เข้าใจผิดว่าเป็นราคาเครื่องศูนย์

กำไรของการขายเครื่องหิ้วและเครื่องศูนย์ต่างกันพอสมควรครับ อีกอย่างเครื่องศูนย์ มักจะมีการกำหนดราคาขายมาตายตัวมาจากบริษัทแม่(บางบริษัท นะครับ ไม่ใช่ทุกยี่ห้อ) ว่าให้ขายราคาเท่ากันหมด ทำให้ตัดราคาขายไม่ได้ จึงมีบางร้านหัวใส(อีกแล้ว) ใส่ราคากล้องไว้ในเว็บว่าราคาของตูถูกกว่าเป็นพันบาท แต่พอไปถึงร้านแล้ว ขอโทษ ไม่ใช่เครื่องศูนย์ครับ เป็นเครื่องหิ้ว(เรียกอีกอย่างว่าหนีภาษีนั่นเอง) อันนี้ก็เจอบ่อยครับ โดยเฉพาะจ้าวใหญ่ๆที่มีการหิ้วกล้องเข้ามาขายเอง แล้วโฆษณาว่า?ถูกที่สุดในประเทศไทย? นี่แหละ ตัวดีเลย

วิธีแก้ก็เหมือนเดิมครับ โทรเช็คก่อน ว่าราคานี่เป็นเครื่องหิ้วหรือเครื่องศูนย์ แล้วแถมอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาไม่ต่างกันมากครับ โดยเฉพาะถ้ารวมราคาของแถมด้วยแล้วละก็ บางรุ่นเครื่องศูนย์ราคาถูกกว่าก็ยังมีเลย

3.ขายเครื่องหิ้ว ในราคาเครื่องศูนย์

อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอสมควร เพราะสามารถเรียกได้ว่าโกงอย่างเต็มปาก จึงไม่ค่อยเห็นร้านไหนทำเท่าไหร่ นอกจากหน้าตาคุณจะละม้ายคล้าย หมู(น่าต้ม) หรือ ลา(โง่) นั่นแหละ อาจจะมีโอกาสเจอได้

วิธีแก้ไขข้อนี้ไม่ยากครับ ดูใบรับประกันให้ดี(ดูว่าเป็นใบรับประกันของแท้ด้วยนะ ไม่ใช่ใบรับประกันทำเอง) ให้หมายเลขเครื่องตรงกับในใบรับประกันเป็นพอ

4.ใส่ราคาไว้ถูกกว่าชาวบ้าน แต่ถึงเวลาไปจริงๆไม่มีของ แต่เชียร์รุ่นอื่นแทน

อันนี้บอกยากเหมือนกันครับ ว่าเจตนาเป็นยังไง บางที่เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกครับ อย่างที่บอกว่ากล้องเดี๋ยวนี้กำไรไม่ได้มากมายอะไร ถ้าเทียบกับราคากล้อง ร้านส่วนใหญ่จึงมี stock ของเก็บไว้ไม่กี่ตัว โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมด้วยแล้ว บางร้านก็ไม่มีติดไว้ที่ร้านเลย แล้วถ้าจู่ๆคุณไปที่ร้านเค้าเลยแล้วเค้าบอกว่าของไม่มี หรือหมด คุณจะไปบอกว่าเค้าหลอกลวง มันคงไม่ใช่ แต่ที่จะเข้าข่ายหลอกลวงคือเค้าตั้งใจให้คุณไปที่ร้านแล้ว หว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้ง 7 ให้คุณซื้อรุ่นอื่น(ซึ่งเค้าอาจจะได้กำไรดีกว่า) อันนี้ก็ต้องถือว่าไม่ถูกต้องนัก

วิธีการแก้ไขก็ไม่อยากเช่นกันครับ โทรศัพท์(อีกเช่นเคย) ไปถามเค้าก่อนว่ารุ่นนี้มีมั๊ย แล้วนัดเค้าให้ดีว่าวันไหนจะเข้าไปเอา ที่สำคัญอย่าลืมทิ้งเบอร์ไว้ให้เค้าด้วย ในกรณีที่ของหมดหรือไม่มีของกระทันหันให้เค้าโทรมาแจ้งเรานิดนึงจะได้ไม่เสียเวลา

5.โจมตีคู่แข่ง ยกหางร้านตัวเอง

เมื่อคู่แข่งมีมาก ตลาดยังมีเท่าเดิม วิธีการที่ร้านกล้องบางแห่งเลือกใช้คือ?โจมตี ป้ายสี ?ร้านคู่แข่ง และยกหางร้านตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ใช้กล้องมารวมกันเยอะๆ เช่น ในเว็บ Pantip หรือ เว็บ Taklong พวกนี้จะใช้วิธีให้คนของตนสมัครสมาชิกไว้หลายๆชื่อ หลังจากนั้น ก็จะคอยดูกระทู้ที่มีคนเข้ามาถามเกี่ยวกับการซื้อกล้อง แล้วก็จะตอบว่า ?ร้าน....บริการดีครับ? ?ไปที่ร้าน.....ซิ ดีครับ ผมเคยซื้อมาแล้ว? อะไรทำนองนี้ครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาตอบแบบนี้ 80% จะเป็นพวกหน้ายาว(เหมือนม้า)ครับ ซึ่งสำหรับกรณีนี้ยังพอให้อภัย แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อว่าร้านคู่แข่งอย่างเสียๆหายๆ แต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา น้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ทั้งที่จริงแล้วร้านที่มาโพสว่าคนอื่นเนี่ย อาจจะห่วยที่สุดก็ได้

อันนี้เราคงไม่ต้องแก้ไขหรอกครับ แต่จำไว้ในใจก็พอว่า?อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ?ครับ โดยเฉพาะในสื่อ internet ที่ไม่เห็นว่าใครเป็นใครเนี่ย ลองหาข้อมูลแบบอื่นๆดูบ้าง โทรไปคุยกับทางร้านดูก็ได้ ผมว่าร้านดีๆเค้าก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษาครับ

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่า ถ้าท่านได้อ่านบทความนี้แล้วจะช่วยให้ทุกๆคน ซื้อกล้องได้ถูกสตางค์และถูกใจมากขึ้น จะทำยังไงได้ละครับ ยุคนี้มันยุค?ข้ารวยคนเดียว?นี่ คนมีสตางค์น้อยอย่างเราๆ ก็ต้องรู้จักวิธีการพวกนี้ไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกหลอกง่ายๆ ยังไงละครับ

ขอบคุณ เค แมน
จาก http://www.klongdigital.com/news2/show_news.php?newsid=3

Read More

ความแตกต่างของ "โปรถ่ายภาพ" กับ "โปรกล้อง"




โดนมากๆเลยครับ ^^

Read More

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของ Lens Hood


เลนส์ฮูด คืออุปกรณ์เสริมที่ใช้ร่วมกับเลนส์แบบต่างๆ กัน มีทั้งแบบเป็นถ้วย และแบบกลีบดอกไม้ ซึ่งเลนส์ตัวไหนจะใช้ Hood แบบไหนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวเลนส์นะครับ เพราะหากเลือก Hood ไม่เหมาะสม อาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ หรือ อาจทำให้ภาพเสียไปเลยด้วยซ้ำ

ประโยชน์ของเลนส์ Hood คือ เอาไว้ช่วยลดแสงรบกวนที่มาจากแหล่งกำเนิดแสงทิศทางอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ขอบๆ เลนส์ ที่จะทำให้เกิด glare ในภาพ ทำให้ contrast ของภาพมันลดลง เมื่อใส่ลงไปแล้ว มันก็จะช่วยบังแสงเอาไว้ ช่วยให้ภาพมี contrast ที่ดีขึ้น

ทีนี้การจะเลือกใช้ hood ก็ต้องดูว่าเลนส์ของเราเหมาะกับ hood ตัวไหน hood ยิ่งยาวมันก็จะยิ่งช่วยบังแสงได้ดี แต่ความยาวของมันก็ต้องดูที่เลนส์ของเราด้วย ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างไปใส่ hood ยาวมันก็จะติดขอบ hood หรือที่เรียกว่า vignette ที่มุมภาพ

ถ้า hood ยิ่งยาวมันก็ช่วยบังแสงได้ดี แต่ถ้า hood ที่มันยาวเกินไปสำหรับช่วงเลนส์นั้นๆ มันก็จะทำให้ติดขอบทุกๆ ด้าน เขาก็เลยทำ hood แบบกลีบดอกไม้ เพื่อที่จะให้ได้ hood ที่มีความยาวให้ได้ผลดีที่สุด และไม่ทำให้เกิดขอบดำหรือ vignette ที่มุมภาพ

แล้วทำไม hood แบบกลีบดอกไม้ถึงไม่ทำให้เกิด vignette ได้ ก็ลองมาดูตรงนี้ละกันนะครับ

ต้องเข้าใจว่า ...ภาพที่ผ่านเลนส์มันจะเป็นภาพกลมๆ ไปตกลงบนเซนเซอร์ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถ้าอยากจะเห็นภาพก็ลองวาดรูปวงกลม 1 รูป แล้ววาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้ได้สัดส่วนประมาณภาพถ่ายลงไปตรงกลางวงกลม ให้มุมของสี่เหลี่ยมแตะที่เส้นรอบวงของวงกลม

สีดำคือบริเวณภาพที่ได้จากเลนส์ ส่วนที่แดงคือส่วนที่ภาพจากเลนส์ไปตกลงเซนเซอร์ เห็นจะเห็นว่า ที่มุมของสี่เหลี่ยมสีแดงมันจะไปชิดติดกับเส้นรอบวงของวงกลมสีดำ ถ้าเราใช้เลนส์มุมกว้าง แล้วใช้ hood แบบถ้วยที่ยาวเกินไป มุมของสี่เหลี่ยมสีแดงมันจะเกิด vignette แต่ hood แบบกลีบดอกไม้มันจะบังเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านบน และด้านข้างเท่านั้น จึงทำให้ไม่เกิด vignette ดังกล่าว แล้วถ้าลองสังเกตดีดี เวลาใส่ hood เข้าที่หน้าเลนส์แล้ว กลีบ hood ด้านล่างและด้านบนจะยื่นยาวออกมากกว่า ...เอาไปเปรียบเทียบกับพื้นที่สีดำด้านบนล่าง และข้างๆ นะครับ

อีกอย่างหนึ่ง hood แบบกลีบดอกไม้นี้สามารถใช้ได้กับเลนส์ auto fucus ที่เวลา focus แล้วหน้าเลนส์ตรงที่เราใส่ hood นั้นไม่มีการหมุนไปมาตามการ fucus ด้วยนะครับ ถ้าใช้ DSLR แล้วมีเลนส์เพิ่ม ก็ต้องดูด้วยว่า hood นั้นเหมาะกับเลนส์ตัวไหน

Read More

Dynamic Rage คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไร


หลายๆคนอาจสงสัยว่า Dynamic Range คืออะไร มันก็คือช่วงของความสามารถในการเก็บรายละเอียดของแสง(ไม่เกี่ยวกับความคมชัดของภาพนะครับ)มันมีสองด้าน คือด้านมืด และด้านสว่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วปัญหาของกล้องดิจิตอลคือความสามารถในการเก็บรายละเอียดแสงในด้านสว่าง นะครับ คือกล้องคนละตัวกัน ถ่าย shot เดียวกัน แสงเดียวกัน ถ้ากล้องที่ Dynamic Range ดีกว่า จะสามารถเห็นรายละเอียดของแสงมากกว่า เช่นรายละเอียดของเสื้อสีขาว ถ้ามองไม่เห็นรายละเอียดของเสื้อเลย ขาวเป็นปื้นๆ หรือว่าผิวหน้าคน ส่วนปลายจมูก หรือโหนกแก้มที่โดนแสงแล้วไม่เห็นรายละเอียด ขาวเป็นปื้นๆ อย่างนี้เรียกว่า Dynamic Range ไม่พอ เก็บรายละเอียดไม่ได้นะครับ ในที่นี้รวมไปถึงสีด้วยนะครับ เช่น แดงเป็นปื้นๆ เหลืองเป็นปื้นๆ แบบนี้เรียกกว่า Dynamic Rage ไม่พอเช่นกัน

ภาพที่มี Dynamic Range ที่ดีกว่า จะทำให้ภาพมีความสมบูรณ์มากกว่า หลายๆคนที่ใช้ฟีลม์แล้วหันมาใช้กล้องดิจิตอลแล้วไม่ชอบกล้องดิจิตอล หนึ่งเหตุุผลหลักๆก็คือเรื่อง Dynamic Range นี่แหละครับ เพราะว่าฟีลม์ทีความสามารถในการเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างได้ดี ยิ่งฟีลม์ Negative จะดีกว่าฟีลม์ Slide อีกด้วย ทำไมฟีลม์ Negative ถึง Dynamic Range ดีกว่า เดี๋ยวลองอ่านต่อไปเรื่อยๆนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
กล้องดิจิตอลก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง Dynamic Range อยู่นะครับ แล้วก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆซะด้วย วันนึงอาจจะแซงฟีลม์ก็ได้นะครับ หรือว่าแซงไปแล้วก็ไม่รู้ โดยเฉพาะกล้อง Fuji S3Pro เห็นพัฒนาเรื่องนี้เป็นจุดขายของกล้องกันเลย

เอาล่ะทีนี้มาอีกเรื่องนึง ปัจจัยของ Dynamic Range มาจากอะไรได้บ้าง ผมขอแยกเป็นหลายข้อหลักๆดังนี้นะครับ
1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
3. Contrast ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)
4. Saturation ของภาพ(รวมทั้งปรับจากตัวกล้อง หรือปรับจากโปรแกรมแต่งภาพ)

1. ประสิทธิภาพของเซนเซอร์กล้อง
ข้อนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตรงตัวเลย คือว่าขึ้นอยู่กับกล้องนั่นเอง เช่น Fuji S3Pro ที่โมษณาว่า Dynamic Range ดี นั่นเพราะเซนเซอร์เค้าออกแบบมาโดยเฉพาะในเรื่องนี้ ยิ่งเซนเซอร์ตัวใหม่ๆก็มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาตรงจุดนี้ไปได้เรื่อยๆครับ
2. ประสิทธิภาพของการประมวลผลกล้อง
ข้อนี้ก็คือขึ้นอยู่กับกล้องอีกเหมือนกัน เช่นเซนเซอร์ตัวเดียวกันใช้กับกล้องหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ว่าความสามารถในเรื่อง Dynamic Range ก็ต่างกันได้ เพราะขึ้นอยู่กับการประมวลผลของกล้องนั่นเอง
3. Contrast ของภาพ
ข้อนี้แบ่งได้เป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกคือการปรับจากตัวกล้อง เช่นค่า Contrast เป็นลบหรือเป็นบวก ค่าต่างๆเหล่านี้มีผลต่อ Dynamic Range ครับ ถ้ากล้องตัวเดียวกัน ค่า Contrast ต่ำ จะมี Dynamic Range ดีกว่าถ่ายที่ค่า Contrast สูงๆ แต่ว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ คือ Contrast สูงๆภาพจะดูมีสีสันที่สดใสกว่าภาพที่ Contrast ต่ำ ก็อยู่ที่สภาพแสงในแต่ละรูปด้วยครับ ว่าควรจะใช้ค่าไหน แต่ถ้าผมแนะนำ ถ่าย Raw เอาไว้ดีที่สุดครับ เพราะนั่นคือเก็บทุกอย่างที่ความสามารถกล้องตัวนั้นๆจะทำได้เลยครับ

ส่วนที่ของก็คือส่วนเราปรับเองในโปรแกรมแต่งภาพ เช่น Photoshop นะครับ บางคนเห็นภาพสีสันไม่ค่อยสวย เลยปรับ Contrast มากขึ้น แน่นอนครับ ว่าสีสันของภาพจะต้องดูสดใสขึ้น แต่ยิ่งที่แลกมาก็คือรายละเอียดในส่วนสว่างนะ
ครับ ก็คือว่าสีสันที่สดใสมักจะสวนทางกับ Dynamic Range อยู่เสมอ นี่ก็คือเหตุผลที่ฟีมล์ Slide ถึงมี Dynamic Range สู้ฟีลม์ Negative ไม่ได้ ก็เพราะว่าฟีลม์ Slide มีสีสันที่สดกว่าฟีลม์ Negative ไงครับ อย่าลืมนะครับ Contrast กับ Dynamic Range มันคู่กัน คือได้อย่างต้องเสียอย่างครับ

มาดูสรุปกันบ้างนะครับ เหตุผลที่ผมเขียนบทความนี้ก็คือ ผมได้เข้าไปดูรูปที่คนหัดถ่ายรูปโพสมาให้ดู ผมว่าหลายๆภาพน่าเสียดายที่รายละเอียดในส่วนสว่างมันไม่ดีเอาซะเลย ทั้งๆที่ภาพสวย จริงๆผมคิดว่าภาพเหล่านั้น ต้นฉบับคงมีรายละเอียดในส่วนสว่างอยู่ แต่ว่าหลายๆคนปรับภาพโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องตรงจุดนี้ เค้าเพียงต้องการให้ภาพมีสีสันสดใส สว่างๆ จึงได้ปรับทั้ง Contrast หรือปรับ Saturate ด้วย เลยทำให้ภาพขาดความสมบูรณ์ไปไม่น้อย และคนจำนวนมากก็ชมภาพเหล่านี้ จริงๆอยู่ว่าภาพสวย แต่ว่าอย่าลืมดู
Dynamic Range ด้วยนะครับ เพื่อความสมบูรณ์ของภาพจริงๆ กล้องก็มีผลต่อ Dynamic Range ด้วยเช่นกัน

ขอบคุณบทความจาก www.thecameracity.com/article ครับ

Read More

ระบบเลนส์แบบ FOLDED OPTIC


หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า FOLDED OPTIC กันมาบ้างแล้ว นักถ่ายภาพที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี เรื่องอุปกรณ์ถ่ายภาพ คงทราบดีว่า FOLDED OPTIC คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อการออกแบบกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ แต่นักถ่ายภาพมือใหม่ส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่า FOLDED OPTIC คืออะไรและมีดีอย่างไร

FOLDED OPTIC เป็นการออกแบบระบบออฟติคอลซูมรูปแบบใหม่ ซึ่งเพิ่งจะมีใช้ในกล้องดิจิตอลเมื่อราวๆ 2-3 ปีมานี้เอง โดยผู้ผลิตกล้องจากญี่ปุ่น MINOLTA กับ กล้องดิจิตอลรุ่น DIMAGE X

กล้องคอมแพคดิจิตอลในช่วง 3-4 ปีก่อน หากจะออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดแบนและบางแบบ CARD SIZE มักจะต้องใช้เลนส์ทางยาวโฟกัสเดียว เพราะถ้าใช้เลนส์ซูมจะมีข้อจำกัดในเรื่องกระบอกเลนส์ เพราะแม้จะใช้กระบอกซ้อนกัน 2-3 ชั้น มันต้องใช้พื้นที่ของตัวกล้องมากพอควรในการบรรจุกระบอกเลนส์และชุดเลนส์ที่พับเก็บแล้ว ความหนาของตัวกล้องจึงไม่น้อยกว่า 22 มม. ทำให้ไม่สามารถออกแบบให้กล้องบางกว่านั้นได้

มินอลต้าจึงพัฒนาระบบเลนส์ซูมรูปแบบใหม่ คือแทนที่จะให้ชิ้นเลนส์เคลื่อนออกมาพร้อมกับกระบอกเลนส์เป็นระยะทาง 15-30 มม. มินอลต้ากลับวางชิ้นเลนส์และระบบกลไกของกระบอกเลนส์ไว้ภายในตัวกล้องทั้งหมด วางเลนส์ชิ้นหน้าไว้มุมขวาบน ด้านหลังของเลนส์ชุดหน้าจะเป็นปริซึม 45 องศา เพื่อหักเหแสงที่ผ่านจากเลนส์ชุดหน้าไปยังชุดเลนส์ด้านในตัวกล้อง เลนส์ชิ้นหน้าไม่มีการขยับเลื่อนออกมาจากตัวกล้อง ต้องใช้การสังเกตสักหน่อยจึงพอจะมองเห็นการเคลื่อนที่ของชุดเลนส์ด้านใน

ระบบซูม FOLDED OPTIC ทำให้สามารถออกแบบกล้องให้มีขนาดกะทัดรัดและบางได้ แม้จะเปิดใช้งานตัวกล้องก็ยังคงบางเฉียบเช่นเดิม ข้อดีอีกเรื่องคือทำให้สามารถลดเวลาในการเปิดเครื่องได้อีกพอควร เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการเลื่อนกระบอกเลนส์ออกมายังตำแหน่งใช้งาน กล้องจึงพร้อมถ่ายในเวลารวดเร็วกว่า

ระบบซูมแบบ FOLDED OPTIC จึงเป็นทางออกของการออกแบบกล้อง ULTRA SLIM ทั้งหลาย จากกล้องอนุกรม X ของโคนิก้ามินอลต้า ผลิตกล้องที่ใช้เลนส์ฃูมแบบนี้ออกมาหลายรุ่นคือ Dimage X, Xt, Xg X50 และ X60 ผู้ผลิตรายถัดมาที่ใช้ระบบซูมรูปแบบนี้ก็คือ SONY กับกล้องอนุกรม T คือ T1, T33 และ T7 ตามมาด้วย Nikon S1, S2 และ SAMSUNG i5 ส่วน CANON, PENTAX และ CASIO ยังไม่ใช้ระบบซูมแบบนี้ แต่ออกแบบเลนส์ซูมให้บางลงด้วยการใช้กระบอกเลนส์ 3-4 ชั้นและใช้ระบบเลื่อนชุดเลนส์บางชุดออกเมื่อพับเก็บเลนส์

ขอขอบคุณบทความนี้ จากนิตยสาร FOTOINFO MAGAZINE No.4: กรกฎาคม 2548 (เก่าไปหน่อย แต่ความรู้เหมือนกัน อิอิ)

Read More

ระยะชัดลึก Dept of Field


การเริ่มต้นถ่ายภาพจริงจังสำหรับมือใหม่ นอกจากการฝึกปรับความชัดแม่นยำ และถูกตำแหน่งแล้ว ยังต้องเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการควบคุมระยะชัดลึกของภาพ ซึ่งบ่อยครั้งที่ช่างภาพมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยังตอ้งตกม้าตายกับเรื่องนี้ สาเหตุมาจากการใช้กล้องถ่ายภาพที่มีระบบอัติโนมัติมากมาย ทำให้ละเลยที่จะเรียนรู้พื้นฐานการถ่ายภาพที่สำคัญ เช่นการควบคุมระยะชัดลึก ส่งผลให้ภาพที่ได้ขาดความสมบูรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย


ระยะชัดลึก( Depth of field) คืออะไร

ระยะชัดลึก บางครั้งก็เรียกว่าความชัดลึก คือควมชัดด้านหน้าและด้านหลังของตำแหน่งที่เราปรับความชัด เช่นหากถ่ายภาพบุคคลเต็มหน้าและปรับความชัดที่ดวงตา ในทางทฤษฎีภาพจะชัดเฉพาะที่ระนาบของดวงตาเท่านั้น (ไม่สามารถปรับความชัดหลายๆระนาบได้ เช่น ไม่สามารถปรับความชัดที่ 3,4 หรือ 5 เมตรในภาพเดียวกันได้ตอ้งปรับความชัดที่ระยะใดระยะหนึ่งเท่านั้น) ลำแสงจากวัตถุที่เราปรับโฟกัสให้ชัดจะไปตัดกับจุดระนาบฟิล์มพอดี แต่ความชัดจะบางเหมือนแผ่นกระดาษและอยู่ระนาบเดียวกับระนาบเซ็นเซอร์ สำหรับกลอ้งถ่ายภาพปกติ(ยกเว้นกลอ้งที่สามารถปรับมุมของระนาบเลนส์และระนาบฟิล์มได้ เช่นกลอ้งวิว หรือกลอ้งบางประเภทเท่านั้น ที่สามารถบิดระนาบความชัดไปมาได้) ทำให้ส่วนที่เป็นแก้ม ใบหู ฉากหลังและฉากหน้าเบลอไป เพราะลำแสงของภาพจากส่วนที่ไม่ใช่ความชัดนี้จะไม่ตัดกันเป็นจุด แต่จะตัดกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่แทน ทำให้ภาพนอกระยะตำแหน่งปรับความชัดเบลอไป เราเรียกจุดและวงกลมที่เกิดจากลำแสงไปตัดกันที่ระนาบฟิล์มนี้ว่า Circle of confusion


ในทางปฎิบัติเราสามารถควบคุมความชัดของภาพให้เพิ่มขึ้นจากระนาบความชัดได้ โดยการลดขนาดลำแสงที่ผ่านเลนส์ไปยังฟิล์มมีขนาดเล็กลง นั่นคือการลดขนาดรูรับแสงของเลนส์ให้เล็กลง ยิ่งหรี่ขนาดรูรับแสงเพิ่มขึ้นเท่าไร จะทำให้วงกลมนี้เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งฟิล์มและสายตาไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า ลำแสงตัดกันเป็นจุดหรือวงกลมทำให้ภาพเกิดความชัดขึ้นมาได้ นั่นคือ การเกิดระยะชัดทางด้านหน้าและด้านหลังระนาบที่ถูกปรับให้ชัด หรือเป็นการเกิด Depth of field นั่นเอง

ขนาดของ Circle of confusion ใหญ่ที่สุดซึ่งกลายเป็นจุดอันจะทำให้ภาพเกิดความชัดขึ้นมา เราเรียกว่า Permissible circle of confusion ซึ่งขนาดของวงกลมดังกล่าวนี้ จะมีกรกำหนดไม่เท่ากันในผู้ผลิตเลนส์แต่ละราย เพราะขนาดของ circle of confusion ขึ้นกับระยะที่มองภาพอัตราขยายภาพ ความแตกต่างของสีหรือแสงระหว่างฉากหน้ากับฉากหลัง

แสงสว่างที่ส่องมายังภาพ รวมไปถึงสายตาของผู้มองภาพด้วย เช่น ถ้าเรามองภาพจากระยะไกล เราจะแยกภาพชัดกับไม่ชัดยากกว่าการมองภาพใกล้ๆ และการขยายภาพขนาดเล็กกับขนาดใหญ่มากๆ ก็จะแสดงความชัดกับไม่ชัดของภาพออกมาได้มากกว่า แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ดูภาพส่วนใหญ่จะมองภาพด้วยระยะห่างประมาณ เส้นทแยงมุมของภาพอันเป้นเรื่องของมุมรับภาพของสายตา หากภาพมีขนาดเล็กก็จะดูภาพในระยะใกล้ ภาพขนาดใหญ่ก็จะดูภาพจากระยะไกล ดังนั้น เราจึงถือว่าอัตราขยายภาพและระยะการมองไม่มีผลต่อขนาดของ Circle of confusion ในทางปฎิบัติ

โดยมาตรฐานแล้ว จะกำหนดระยะการมองภาพไว้ที่ 10 นิ้ว ด้วยปัจจัยหลายประการนี้เอง ทำให้เลนส์ต่างยี่ห้อที่มีทางยาวโฟกัสเท่ากัน ขนาดรูรับแสงเท่ากัน แต่มีตัวเลขความชัดลึกที่กระบอกเลนส์ไม่เท่ากัน แต่ภาพที่ถ่ายออกมานั้นจะมีความชัดลึกเท่ากัน และที่น่าแปลกใจคือ ไม่ได้มีข้อกำหนดร่วมกับเลนส์ของผู้ผลิตแต่ละรายว่าควรจะใช้ ขนาดของ Circle of confusion นี้เท่าไร ตามมาตรฐานทั่วไปจะกำหนดที่ขนาด 1/1000 นิ้ว หรือ 0.003937 มม. แต่ในการผลิตจริง ของผู้ผลิตเลนส์จะมีค่าตั้งแต่ 1/70 ถึง 1/200 นิ้ว

ชัดลึกและชัดตื้น

ระยะชัดทางด้านหน้าของตำแหน่งที่ปรับความชัด เราจะเรียกว่า ชัดตื้น ส่วนระยะชัดด้านหลังของระนาบความชัด เราเรียกว่าชัดลึก ระยะชัดจากด้านหลังสุดเราเรียกว่า ช่วงความชัด เช่นเลนส์ขนาด 50 มม. ปรับความชัดที่ระยะ 3 เมตร ปรับขนาดรูรับแสง f/16 ระยะชัดด้านหน้าอยู่ที่ 2 เมตร ระยะชัดด้านหลังอยู่ที่ 10 เมตร ถึง 10 เมตร หรือมีช่วงระยะชัด 8 เมตร เป็นต้น

กล้องถ่ายภาพ 35 มม. DLR หรือกลอ้งดิจิตอล SLR ในปัจจุบันเป็นระบบ Auto Diaphragm ซึ่งเลนส์จะเปิดรูรับแสงกว้างสุดเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับความชัด (ปรับโฟกัส) และช่องมองภาพได้ง่ายขึ้น ดังนั้นภาพที่ปรากฏในช่องมองภาพที่มีระยะชัดลึกน้อยที่สุดของเลนส์ที่กำลัง ใช้งานอยู่ เมื่อชัตเตอร์บันทึกภาพ ระบบควบคุมของกลอ้งจะทำให้รูรับแสงหรี่ลงมาตามขนาดรูรับแสงจริงที่เราตั้งเอาไว้จากนั้นชัตเตอร์จึงทำงาน หลังจากที่ชัตเตอร์ปิด รูรับแสงก็จะเปิดกว้างสุดเหมือนเดิม หากถ่ายภาพโดยใช้รูรับแสงแคบ เช่น f/11 คุณก็จะได้ภาพถ่ายที่มีระยะชัดลึกมากกว่าที่มองเห็นในช่องมองภาพ

ชัดลึกและชัดตื้นจะมีความหมายในอีกกรณีหนึ่ง คือการชัดและเบลอของฉากหน้าและฉากหลัง ถ้าฉากหน้าและฉากหลังเบลอมากเราเรียกว่า ชัดตื้น หากชัดมากเราจะเรียกว่าชัดตื้น แต่เนื่องจากความชัดลึกชัดตื้นในกรณีนี้เป็นความรู้สึกของผู้ดูภาพซึ่งแต่ละบุคคลจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

การควบคุมความชัดลึก

คุณสามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้ด้วยตัวเอง ความชัดลึกของภาพกำหนดโดยขนาดของ Circle of confusion ซึ่งถ้าเราให้เลนส์แต่ละยี่ห้อมีขนาด Circle of confusion เท่ากันแล้ว เราจะรู้ได้ว่าเลนส์ทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะแพงหรือถูกเพียงใด หากมีทางยาวโฟกัสเท่ากันและขนาดรูรับแสงเท่ากัน จะมีระยะชัดลึกเท่ากันด้วยอัตราการขยายภาพไม่มีผลต่อความชัดลึกของภาพดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้และเราสามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้ 3 วิธี

การควบคุมขนาดรูรับแสง (F-Number)
การลดขนาดรูรับแสงลง จะทำให้ระยะชัดลึกด้านหน้าและด้านหลังจุดปรับความชัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่าความชัดที่เห็นในช่องมองภาพนั้นเป็นความชัดที่ขนาดรูรับแสงกว้างสุด หากต้องการตรวจสอบว่าค่ารูรับแสงที่ใช้จะทำให้ระยะชัดลึกมากน้อยเพียงใด สามารถทำได้โดยการกดปุ่มเช็กชัดลึกที่ตัวกลอ้ง (ถ้ามี)

ระยะปรับความชัด ( Focusing distance)
ระยะชัดลึกจะแปรผันตามระยะชัด การปรับความชัดใกล้ขึ้นจะทำให้ภาพมีความชัดลึกลดลง พูดง่ายๆคือ ยุ่งถ่ายภาพใกล้มากเท่าใด ภาพก็จะมีระยะชัดน้อยลงตามลำดับ

ทางยาวโฟกัสของเลนส์ ( Focal Length)
เมื่อถ่ายภาพที่ระยะห่างและขนาดรูรับแสงเดียวกัน เลนส์เทเลโฟโต้จะให้ภาพที่มีระยะชัดลึกน้อยกว่าเลนส์มุมกว้าง ยิ่งทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นเท่าไร ช่วงระยะชัดลึกก็จะน้อยลงตามลำดับ

บทสรุป

เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับระยะชัดลึกแล้ว คุณสามารถนำความรู้นี้ ไปใช้ในการควบคุมระยะชัดลึกของภาพได้ และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น จะช่วยให้การตัดสินใจในเรื่องของ การควบคุมระยะชัดลึก เป็นไปอย่างรวดเร็ว เช่นเมื่อตอ้งการถ่ายภาพทิวทัศน์ให้คมชัดทั้งภาพ คุณตอ้งใช้เลนส์มุมกว้างที่มีคุณสมบัติชัดลึกมากกว่าเลนส์เทเล แล้วปรับรูรับแสงแคบเพื่อเพิ่มระยะชัด แต่ถ้าตอ้งการถ่ายภาพให้ชัดตื้น เช่นถ่ายภาพบุคคลให้ฉากหลังเบลอ ตอ้งเลือกใช้เลนส์เทเลโฟโต้ เช่น 100 หรือ 200 mm. ถ่ายภาพโดยเปิดรูรับแสงกว้างสุดและเข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ภาพที่ชัดตื้นหรือมีฉากหลังเบลออย่างง่ายดาย

ขอบคุณบทความจากนิตยสาร SHUTTER PHOTOGRAPHY

Read More

ไม่ใช้กล้องมืออาชีพ ก็ถ่ายภาพให้สวยได้

กล้องธรรมดาๆ ที่คุณมีอยู่สามารถถ่ายภาพ ให้สวยออกมาแบบมืออาชีพได้สบายๆ เลย เพียงแค่คุณรู้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

จากข้อมูลที่มีอยู่บอกว่า...กล้องพกพาที่มีจำหน่ายในประเทศไทยมีสามแบบ แบบแรกคือ กล้องราคาต่ำที่สุดเป็นกล้องพกพาซึ่งมีโฟกัสคงที่ ไม่สามารถปรับโฟกัสได้หรือโฟกัสฟรี มีราคาประมาณ 1,000 กว่าบาท แบบที่สองคือ กล้องที่ให้ภาพคมชัดกว่า เป็นที่มีการปรับโฟกัสให้อัตโนมัติ หรือออโต้โฟกัสซึ่งจะปรับความชัดของภาพด้วยการใช้แสงอินฟราเรดที่มองไม่เห็น และแบบที่สามคือ กล้องออโตโฟกัสมีราคาแพงที่สุด มีเลนส์ซูมสามารถดึงภาพใกล้-ไกลได้ ราคาตั้งแต่ประมาณ 5,000 บาทถึง 25,000 บาท กล้องออโต้โฟกัสปรับตั้งทุกระบบโดยอัตโนมัติตามสภาพของแสง จึงให้ภาพที่คมชัดกว่ากล้องแบบโฟกัสฟรี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแสงน้อย


ถ่ายภาพกลางแจ้ง

กล้องพกพาใช้งานง่ายที่สุดเมื่อถ่ายภาพกลางแจ้งในวันแดดจัด ปัจจุบันกล้องพกพาสามารถคำนวณแสงและลบเงาได้โดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นไปได้ควรเลี่ยงการใช้แฟลชในที่ร่ม เพื่อให้ถ่ายรูปออกมาโดยใช้แสงธรรมชาติส่องจะดีกว่า แต่ถ้าแสงไม่พอและต้องใช้แฟลชก็ต้องศึกษาให้ดีว่าแฟลชสามารถส่องสว่างได้ไกลเพียงใด กล้องพกพามักจะ ตั้งระยะสว่างของแฟลชไว้ที่ 3 เมตร ถ้าไกลกว่านี้อาจทำให้ภาพออกมามืดได้ หากใช้ฟิล์มไวแสงเช่นฟิล์มที่มีค่า ASA 400 ก็สามารถอยู่ไกลออกมาได้ถึง 4 เมตร ถ้าถ่ายรูปในวันที่มีแดดจัดใช้ฟิล์ม 100 ก็พอ แล้วถ้าวันใดมีฝนตก ฟ้าดูครึ้มๆ ก็ใช้ฟิล์ม 200 หรือ 400 จะดีกว่าค่ะ

การรักษาระยะห่าง

กล้องพกพาส่วนใหญ่จะถ่ายภาพออกมาไม่ชัดถ้าอยู่ใกล้ตัวแบบเกิน 1.5 เมตร ถ้าถ่ายใกล้ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ภาพที่ได้จากกล้องพกพาส่วนใหญ่จะพร่ามัว ยกเว้นกล้องที่มีเลนส์มาโครสำหรับถ่ายภาพใกล้ แต่ถ้าคุณไม่มีเลนส์ชนิดนี้ไม่ต้องเศร้าไปเพราะมีวิธีแก้คือ ตอนเอาฟิล์มไปล้างคุณก็สั่งอัดขนาด 5*7 นิ้วหรือใหญ่กว่านั้น พอได้รูปมาคุณก็ตัดขอบส่วนเกินออกไปเท่านี้คุณก็จะได้รูปที่ดูเหมือนใกล้แล้วค่ะ

ใช้แฟลชแม้มีแดด

ในบางครั้งแม้ว่าเราถ่ายรูปในยามที่มีแดดจ้า เราก็อาจจะต้องใช้แฟลชเพื่อลบหรือลดเงาดำตามขอบตาขอบปากออก กล้องรุ่นใหม่บางรุ่นจะอัฉริยะมาก จะทำการวัดแสงให้อัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นกล้องแบบเก่าที่ต้องเปิดแฟชเอง คุณก็ควรจะเปิดด้วยนะคะ วิธีที่ใช้แฟลชทั้งๆ ที่มีแดดอย่างนี้ช่างภาพมืออาชีพเขาเรียกกันว่า "ฟิลอินแฟลช"

ดูแสงก่อนถ่าย

ตอนที่คุณถ่ายภาพเคยเจอเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ย้อนแสง" ไหมค่ะ นั่นคือฉากหลังของแบบที่เราจะถ่ายมีแสงจ้ามากไป จนทำให้ตัวแบบของเรามืด การเปลี่ยนมุมมองถ่ายภาพเป็นวิธีเลี่ยงที่ง่ายที่สุดแล้ว สำหรับกล้องแพงๆ บางรุ่นมีระบบควบคุมแสงฉากหลังด้วย เรียกว่า Backlight control หรือ Backlight compensation จะทำให้ฉากหลังไม่มืด ถ้าอยากรู้ว่ากล้องของคุณมีระบบนี้หรือไม่ก็อ่านดูในคู่มือนะคะ เคล็ดลับในการถ่ายภาพคนให้ดูดีและภาพออกมานุ่มนวลคือให้คนนั้นอยู่ในที่ที่มีแสงไม่จ้าเกินไปเช่น ถ่ายใต้เงาอาคาร

Read More

การถ่ายภาพเวลากลางคืน


การถ่ายภาพเวลากลางคืน (Night Picture) ได้แก่ การถ่ายภาพที่อาศัยแสงสว่างจากไฟฟ้าตามท้องถนน ป้ายนีออนโฆษณา น้ำพุ การยิงพลุ ห้องโชว์สินค้า ไฟประดับในวันเฉลิมฉลองต่าง ๆ แสงไฟจากรถยนต์ แสงเทียน สายฟ้าแลบ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้า ความสวยงามต่างๆที่เราสามารถมองเห็นได้ในเวลาค่ำคืนดังกล่าว เราสามารถบันทึกภาพที่งดงามเหล่านั้นด้วยกล้องถ่ายภาพได้เช่นเดียวกับการถ่ายภาพในเวลากลางวัน

การถ่ายภาพในเวลากลางคืนนั้นต้องมีอุปกรณ์ที่จำเป็นดังนี้

1. กล้องถ่ายภาพชนิดที่มีความเร็วชัตเตอร์ B หรือ T
2. ขาตั้งกล้อง
3. สายไกชัตเตอร์
4. นาฬิกาจับเวลา
5. ไฟฉายดวงเล็ก ๆ
6. สมุดบันทึกสำหรับจดรายละเอียด เช่น เวลาในการเปิดหน้ากล้อง


แสงสว่างจากหลอดไฟต่าง ๆ ในเวลากลางคืนนั้น เราจะวัดแสงลำบากและไม่แน่นอนจึงควรใช้ประสบการณ์ที่ได้ทดลองถ่ายและจดบันทึกรายละเอียดไว้ในแต่ละครั้งมาพิจารณา ปกติจะถ่ายภาพด้วยการตั้งความเร็วไว้ที่ B หรือ T แล้วนับเวลา(Time exposure) ใช้เวลาในการเปิดม่านชัตเตอร์ เป็นวินาทีหรือนาทีก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะและปริมาณของแสง

ในขณะที่ถ่ายภาพ เนื่องจากต้องใช้เวลานานในการเปิดม่านชัตเตอร์ จึงจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันกล้องเคลื่อนที่ และสั่นไหว ขาตั้งกล้องควรเป็นชนิดที่แข็งแรงมีที่สำหรับปรับมุมยกหน้ากล่องขึ้นและลงได้ และสามารถหมุนกล้องไปทางซ้ายและขวาที่เรียกว่า Pan กล้องได้ ซึ่งเราจะได้ถ่ายภาพออกมามีลักษณะและสีสันที่แปลกออกไปอีกแบบหนึ่งส่วนเลนส์ที่ใช้หากเป็นเลนส์ที่สามารถซูมภาพได้ ก็ยิ่งจะได้ภาพที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีก

นอกจากใช้ฟิล์มขาว–ดำ ถ่ายภาพไฟในเวลากลางคืนได้แล้ว อาจใช้ฟิล์มเนกาทิฟสีหรือสไลด์สีก็ได้ ซึ่งจะได้ภาพที่มีสีสวยงามยิ่งขึ้น
การเลือกใช้ฟิล์มสไลด์สีขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราจะถ่าย เช่น การถ่ายภาพไฟตามถนน ป้ายนีออนโฆษณา ไฟประดับ ก็ควรใช้ฟิล์มแสงแดด (Day Light) ภาพที่ได้จะมีสีค่อนข้างเหลือง หรืออาจใช้ฟิลเตอร์สีฟ้าสวมหน้าเลนส์เพื่อแก้สีก็ได้

ถ้าเป็นภาพการแสดงบนเวที งานประเพณีต่าง ๆ ควรใช้ฟิล์มที่มีควาไวแสงสูง เช่น 200 ISO, 400 ISO เพื่อให้สามารถจับภาพเคลื่อนไหวได้ ส่วนภาพดวงจันทร์หรือดวงดาวควรใช้ฟิล์มที่ใช้กับแสงไฟทังสเตน จะได้สีที่ถูกต้องยิ่งขึ้น

Read More

แสงกับการถ่ายภาพ

การถ่ายภาพ ไม่ว่าจะถ่ายภาพอะไรก็แล้วแต่ แสงสีและบรรยากาศคือสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสามารถสื่อถึงอารมณ์ภาพได้เป็นอย่างดี และช่วงเวลาที่เหมาะสม คือตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเรื่อยไปจนถึงหลังพระอาทิตย์ขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง อีกช่วงหนึ่งคือ ก่อนพระอาทิตย์ตกและหลังพระอาทิตย์ตกประมาณครึ่งชั่วโมง ในช่วงเวลาเช่นนี้เราจะได้บรรยากาศของแสงสีที่ดูอบอุ่น โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและหลังพระอาทิตย์ตกนั้น ท้องฟ้าจะแปรเปลี่ยนสีสันอย่างสวยงาม ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ทำให้ภาพที่ดูธรรมดาๆ ในเวลากลางวันกลายเป็นภาพที่สวยงามตระการตาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับโชคและดวงด้วย

บ่อยครั้งที่สถานที่เดียวกัน แต่คนละวัน ภาพที่ได้มีบรรยากาศที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นช่วงเวลากลางวัน ไม่ว่าจะถ่ายวันไหนก็ดูคล้ายๆ กันไปหมด ลองสังเกตภาพจากหนังสือ นิตยสาร โปสเตอร์ โปสการ์ด สคส หรือปฏิทิน คุณจะพบว่าเกินครึ่งของภาพทิวทัศน์ถ่ายภาพในช่วงเวลาเช้าหรือเย็น แม้กระทั่งภาพคนก็ยังนิยมถ่ายภาพในช่วงเวลานี้เช่นกัน เนื่องจากแสงไม่แรงจนเกินไป และได้โทนสีที่ดูอบอุ่นมากกว่าช่วงเวลากลางวัน

นักถ่ายภาพมืออาชีพจะเลือกเวลาในการถ่ายภาพตอนเช้ากับตอนเย็นเช่นกัน โดยเฉพาะนักถ่ายภาพทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแทบจะนอนพักผ่อนในเวลากลางวันเลยทีเดียว แล้วไปรอถ่ายภาพตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ในขณะที่มือสมัครเล่นยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง การเดินทางท่องเที่ยวครั้งต่อไปของคุณ ลองนอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วตื่นไปถ่ายภาพตอนตีห้า แต่อาจจะต้องสำรวจทำเลที่จะถ่ายภาพก่อนล่วงหน้า แล้วคุณจะไม่อยากถ่ายภาพในช่วงเวลากลางวันอีกเลยก็เป็นได้ สิ่งที่ต้องไม่ลืมในการถ่ายภาพแสงสีช่วงเช้าหรือเย็นคือ สภาพแสงน้อยมาก คุณจำเป็นต้องมีขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์เพื่อช่วยให้ภาพที่ได้มีความคมชัดแน่นอน

Read More